วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ของเล่นของลูก

เนื่องจากเป็นแม่ที่ไม่มีเงินทองจะกองให้ จะให้ซื้อขอเล่น โน่นนั่นนี่ตามหนังสือแนะนำ แม่ก็ได้แต่ส่ายหัว แพง เกินความจำเป็นอย่างมาก ดังนั้นตอนลูกยังแบเบาะ ของเล่นลูกจึงยังไม่มี มีแค่ตุ๊กตาของแม่ที่สะสมไว้ โมบายที่ควรจะมีไว้บ้างก็คาดคั้นเอากะเพื่อนรักของแม่ให้ช่วยซื้อเป็นของขวัญให้หลาน เป็นโมบายปลาตะเพียนด้วย พอลูกโตขึ้นคว่ำคลาน ไขว่คว้าได้ แม่ก็ให้เล่นการ์ดเติมเงินที่แม่สะสมไว้ กว่าจะหยิบได้ค่อนข้างนาน ก็เป็นการฝึกให้มือลูกหยิบจับได้เร็ว (ไปหาตาตอนขวบกว่าๆ ลูกสามารถเสียบหลอดนมเข้าตรงรูได้ ตาชมใหญ่เลยว่ามือนิ่งมาก )
นอกจากนั้นก็มีหนังสือดิกชันารีเล่มเล็กเอามากรีดให้ลูกดู เพื่อเรียกร้องความสนใจ ก็ดูจะได้ผล เพราะลูกชอบหนังสือและไม่เคยฉีกหนังสือเลย ตุ๊กตาที่แม่สะสมไว้ก็กลายเป็นของลูก ถึงลูกจะเป็นผู้ชายแม่ก็ให้เล่น เพราะมันคือ “ของเล่น” ไม่ใช่ของเปลี่ยนเพศ แม่เอาไว้เล่นสมมติทำเสียงเล็กเสียงน้อย ไม่ต้องซื้อหุ่นมือก็ได้ เอาตุ๊กตานี่แหละ ใช้ได้เหมือนกัน ที่เสียเงินซื้อก็มีพวกเครื่องกดที่มีเสียงสัตว์ ลูกบอล หนังสือบอร์ดบุค(มือสองค่ะ เพราะมือหนึ่งค่อนข้างแพง) บล็อกพลาสติก บางทีก็อนุญาตให้ลูกเอาหม้อ ตะหลิวใบเล็กๆมาเล่นทำกับข้าว แต่สิ่งที่ลูกชอบไม่เปลี่ยนแปลง(แต่ชอบจะออดอ้อนขอใหม่)คือรถค่ะ ขอบมากๆ แต่ก็นั่นแหละค่ะเด็กเบื่อง่าย ของเล่นลูกชายสองตะกร้าแล้วที่ซื้อให้ เลยต้องประดิษฐ์ของเล่นให้ลูกเล่นเองเป็นส่วนมาก เอาของเก่าเหลือให้ อย่างแผ่นโฟมกันกระแทกมาตัดๆแปะๆเป็นเตาแก๊สให้ลูกเล่น แต่จากประสบการณ์แล้วคิดว่าของเล่นที่ทำง่าย หาง่ายที่สุดคือ กระดาษค่ะ นอกขากเอากระดาษมาวาดรูป ระบายสี แล้ว ยังเอามาทำหน้ากาก พับเป็นหมวก เอามาให้ลูกตัด(ฝึกการใช้มือควบคุมกรรไกร) และสิ่งของอื่นๆจำพวกกระดาษ เช่น เอานามบัตรเก่าๆของพ่อมาทากาวประกบกัน ทำเป็นสื่อการสอนพวกflash card หรือพระเอกอีกอย่างคือลังกระดาษค่ะ เอามาเล่นได้หลากหลายมาก สมมติเป็นรถ เป็นบ้าน เป็นยานอวกาศ เป็นหุ่นยนต์ ตามแต่ลูกจะจินตนาการ ส่วนแม่เป็นผู้ช่วยให้จินตนาการของลูกสมบูรณ์

ลูกคงไม่ได้พิจารณาก่อนเล่นของเล่นที่แม่ทำให้ว่า มันไม่ใช่ของเล่นที่แพง หรือมีการรับประกันว่าไร้สารพิษ แต่แค่ลูกได้มีส่วนร่วมนั่งการนั่งดูแม่ว่าจะทำอะไรให้เล่นอีกหนอ พอสำเร็จเป็นรูปร่างแล้วลูกเล่นอย่างมีความสุข แม่ก็สุขใจแล้ว

วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เมื่อลูกชายเล่นจู๋ ..แม่ก็จ๊ากน่ะสิ

ออกอาการมึนงงสักพัก พอจะรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องร้ายแรง แต่ก็กังวลและคิดไม่ออกว่าสาเหตุมาจากอะไร จะแก้ยังได ในที่สุดก็คิดได้ว่าต้องให้อากู(google)ช่วยไขปัญหาคาใจ ทำให้รู้ว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ลูกสนใจจู๋ตัวเองเป็นพิเศษก็เนื่องมาจากเรา(พ่อแม่)นั่นเอง ..พ่อไม่ต้องเดินหนี มารับผิดชอบร่วมกันเลย เพราะตัวดีเลยชอบจับจู๋ลูก ส่วนเราก็ไม่ค่อยให้ลูกไปเล่นกับเพื่อน แต่เราเองก็ไม่ค่อยเล่นกับลูก ..ต้องปรับปรุงตัว
เอาล่ะ ใครมีปัญหาเหมือนกัน เอาปัญญามาไขปัญหาให้ค่ะ รวบรวม เรียบเรียงใหม่ ข้อมูลจากเวปดีๆ tiny zone ,เว็บไซต์สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์และเวปหมอชาวบ้านค่า ..กราบงามๆค่ะ

การเล่นอวัยวะเพศของเด็กวัย 3-4 ขวบนี้ ต้องถือว่าเป็นเรื่องปกติ มีเหตุผลเช่นเดียวกับการติดนิสัยดูดนิ้ว เหมือนกับที่เด็กเล็กๆ ติดขวดนม ดูดนิ้วมือ หรือชอบจับลูบคลำส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเป็นประจำ ซึ่งเป็นความพอใจในลักษณะเดียวกันไม่ใช่เรื่องความความผิดปกติแต่อย่างใด เมื่อบอกคุณแม่ว่าปล่อยให้เด็กดูดนิ้วต่อไปได้ เพราะจะหายเองในอนาคต คุณแม่ส่วนใหญ่ยอมรับฟัง แต่พอพูดเช่นนี้กับคุณแม่ ที่มีปัญหาลูกเล่นอวัยวะเพศ คุณแม่มักยอมรับไม่ได้ เพราะอะไรที่เกี่ยวกับเพศ จะทำให้ผู้ใหญ่เดือดเนื้อร้อนใจเป็นพิเศษ ทั้งที่เด็กวัยนี้ยังไม่เข้าใจความหมายหรือมีความรู้สึกถึงความต้องการทางเพศหรือความใคร่เหมือนผู้ใหญ่ แต่เป็นเพราะเหตุบังเอิญที่ทำให้เด็กจับบริเวณอวัยวะเพศบ่อยๆ ก็เกิดความพึงพอใจ หรือการที่พ่อแม่ทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศให้ลูก บางครั้งอาจนานเกินไป ทำให้ลูกเกิดความรู้สึกพึงพอใจเมื่อได้รับการสัมผัสบริเวณนั้น
อันที่จริง การเล่นอวัยวะเพศของเด็กวัยนี้ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากการอมมือ ถ้าจะคิดว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับเพศก็คงเหมือนกับความคิดของซิกมันต์ ฟรอยด์ ที่ว่า การดูดนิ้วเกี่ยวโยงกับเรื่องเพศเท่านั้นเอง ซึ่งนิสัยเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะเด็กไม่มีโอกาสและสถานที่ระบายพลังงานออกจากกายอย่างเพียงพอ หากเด็กได้เล่นกับเพื่อน ได้วิ่งเล่นออกกำลังกายนอกบ้านตามความต้องการนิสัยเหล่านี้จะหายไปเอง และไม่มีผลต่ออนาคตของเด็กเลย เวลาเด็กอมนิ้วหรือเล่นอวัยวะเพศ ตัวแกเองก็รู้สึกอายเหมือนกัน จึงไม่ยอมทำในที่ที่มีคนเห็น หากพบว่าลูกมีนิสัยเล่นอวัยวะเพศ การห้ามปรามตรง ๆ คงไม่ได้ผล ควรสร้างสภาพแวดล้อมที่ไม่อำนวยให้เด็กมีโอกาสเล่นอวัยวะเพศดีกว่า
เด็กที่อยู่บนแฟลตสูง ๆ และไม่ได้เล่นกับเพื่อน คุณแม่ควรพาแกลงมาเล่นบนพื้นดินกับเด็กอื่น ๆ บ้าง หรือส่งไปโรงเรียนอนุบาล แทนที่จะให้ไปเหงาอยู่กับบ้าน ถ้าที่บ้านมีสนาม อาจเลี้ยงลูกสุนัขได้เป็นเพื่อนวิ่งเล่น หรือทำชิงช้า ทำที่ปีนป่ายให้เล่น เป็นต้น ในกรณีที่รู้ว่าเด็กใช้เก้าอี้ตัวนั้นเสียชั่วคราว การหยิก การตี ขู่ว่าอวัยวะจะเน่า หรือหลอกเด็กว่าจะทำให้แก่โง่เง่า เป็นสิ่งไม่ควรทำ การล้างมือของเด็กให้สะอาดอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่อวัยวะเพศ ถ้าเด็กมีพยาธิจะทำให้รู้สึกคันก้นและบริเวณอวัยวะเพศบ่อย ๆ จนกระทั่งรู้จักการเล่นอวัยวะเพศ ควรตรวจและกำจัดพยาธิเป็นประจำ การเล่นอวัยวะเพศซึ่งเริ่มในช่วงอายุ 4 ขวบ อาจติดเป็นนิสัยไปจนถึงวัยเข้าโรงเรียน และจะหายไปเองในวัยประถม หลังจากนั้น แกก็กลายเป็นเด็กปกติ
สรุป สาเหตุ ได้แก่
1. เด็กกระตุ้นด้วยตนเองจากการค้นพบโดยบังเอิญ เด็กเล็กที่เริ่มคว้าและจับสิ่งของต่างๆ ได้แล้วก็จะชอบจับอวัยวะต่างๆของตนเอง เช่นจับใบหู จับมือ จับเท้าและจับอวัยวะเพศแล้วบังเอิญเกิดความพึงพอใจ เด็กจึงเล่นอวัยวะเพศต่อ ในเด็กที่โตขึ้นมาหน่อยเผอิญนอนคว่ำอวัยวะเพศไปเสียดสีเข้ากับหมอนข้างแล้วเกิดความพึงพอใจ เด็กเกิดการเรียนรู้จึงทำซ้ำๆ
2. การระคายเคือง เกิดจากการทำความสะอาดไม่ดีเพียงพอ หรือเกิดจากพยาธิเส้นด้าย ทำให้เด็กเกิดอาการคันเมื่อเกาบริเวณอวัยวะเพศแล้วเด็กรู้สึกพึงพอใจจึงทำซ้ำ
3. พ่อแม่ทำความสะอาดให้เด็กมากเกินไป พ่อแม่บางคนที่รักความสะอาดมากๆเวลาอาบน้ำจะขัดถูให้เด็กบ่อยๆ และพ่อแม่บางคนจะเอาสำลี มาทำความสะอาดบริเวณนี้ของเด็กบ่อยๆ จึงเป็นการกระตุ้นเด็กโดยไม่รู้ตัว
4. ผู้ใหญ่ชอบแหย่เด็ก ผู้ใหญ่บางคนชอบแหย่เด็กโดยการเอามือไปจับจู๋เด็กเล่น หรือบางคนชอบเอาใบหน้าที่มีหนวดไปไซร้ที่อวัยวะเพศของเด็ก ทำให้เด็กจั๊กจี๋และเกิดความพึงพอใจจึงจับอวัยวะเพศของตนเองเล่น
5. เด็กบางคนเหงาและมีเวลาว่างก่อนนอน เด็กบางคนอาจถูกปล่อยให้เล่นคนเดียวอยู่บ่อยๆเด็กจึงกระตุ้นตนเองโดยการดูดนิ้ว นั่งโยกตัว ดึงผมและเล่นอวัยวะเพศ เป็นต้น จะทำจนติดเป็นนิสัย หรือเด็กที่ง่วงนอนแล้วตายังสว่าง นอนไม่หลับก็จะจับผ้าห่มถูเล่น ถูมือ แคะจมูก ดูดนิ้วลูบคลำอวัยวะเพศ เป็นต้น และเมื่อเด็กเกิดความพึงพอใจเด็กก็จะทำบ่อยๆ จนติดเป็นนิสัย
6.เด็กเลียนแบบผู้ใหญ่ กรณีนี้อาจเกิดขึ้นได้ถ้าหากผู้ใหญ่ไม่ระมัดระวังและทำอะไรให้เด็ก เห็นเด็กก็จะเลียนแบบหรือเลียนแบบในวีดีโอ
วิธีแก้ไข
- การแก้ไขที่ได้ผลดี เมื่อลูกเล่นอวัยวะเพศ คือ การเบี่ยงเบนความสนใจ ไม่ใช่การว่ากล่าวให้เกิดความรู้สึกกลัว เพราะการทำเช่นนี้ ลูกอาจรู้สึกว่า ความรู้สึกเรื่องเพศเป็นสิ่งที่ผิด เป็นเรื่องเลวร้ายกลายเป็นความเข้าใจผิด หรือเกลียดกลัวเรื่องเพศไป กลายเป็นปัญหาเมื่อเป็นผู้ใหญ่
- ถ้าเห็นลูกใช้มือคลำ เกาผิดปกติ ตรวจดูก่อนว่าบริเวณอวัยวะเพศลูกมีแผล รอยแดง ที่ทำให้ลูกคันหรือไม่ และบางครั้งอาจเกิดจากการที่มีพยาธิ ซึ่งเด็กมักจะคันในช่วงหัวค่ำ จะได้รู้สาเหตุของการจับอวัยวะเพศอย่างแน่ชัด กรณีที่เป็นพยาธิเส้นด้าย เด็กควรได้รับยาถ่ายพยาธิ
- เมื่อทำความสะอาดอวัยวะเพศแล้วควรซับบริเวณนั้นให้แห้งจะได้ไม่เกิดการระคายเคือง
- การทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศ ควรระมัดระวังไม่ควรเช็ดถูและกระตุ้นบริเวณนั้นมากเกินไป ทำแต่พอควร
- พ่อแม่ควรมีเวลาให้เด็กและควรทำกิจกรรมร่วมกับเด็กบ้าง เพราะถึงแม้ว่าการเล่นอวัยวะเพศในเด็กวัยนี้จะไม่ได้เป็นเรื่องที่ร้ายแรง แต่ในเด็กบางคนที่ขาดความอบอุ่น หรือเกิดความรู้สึกเหงา เศร้าซึม อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้หมกมุ่นกับเรื่องนี้ได้ ไม่ควรปล่อยให้เด็กอยู่ตามลำพังบ่อยๆ และควรเปิดโอกาสให้เด็กได้เล่นกับเพื่อนๆ
- เมื่อคุณพ่อคุณแม่เห็นว่าลูกกำลังเล่นอวัยวะเพศอยู่ ไม่ควรตระหนกตกใจจนเกินไป ควรเพิกเฉย ไม่ควรหลอกว่าจะตัดจู๋หรือจิ๋มจะเน่า เพราะจะทำให้เด็กกลัว ไม่ดุว่า หรือเฆี่ยนตี เพราะไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้น การว่ากล่าวอย่างรุนแรง อาจทำให้เด็กเกิดความรู้สึกต่อเรื่องนี้ในด้านลบ และเกิดผลเสียด้านจิตใจตามมา ควรใช้วิธีก็ชักชวนหากิจกรรมอย่างอื่นเล่นกับลูก ชวนลูกไปเตะบอล ช่วยแม่ทำกับข้าว + มีเวลาให้กับลูกอย่างสม่ำเสมอ ถ้าเห็นว่าลูกมีพฤติกรรมดังกล่าวอาจจะเพิ่มเวลาที่ทำกิจกรรมกับลูกมากขึ้น แต่ไม่ใช่การจับผิดลูก
- ช่วงเวลาเข้านอน เด็กที่เล่นอวัยวะเพศเวลาเข้านอนแม่ควรพาเด็กเข้านอน อ่านหนังสือหรือเล่านิทานให้ลูกฟังก่อนนอน ให้เด็กจับมือแม่ หาผ้าห่มหรือของเล่นชิ้นเล็กให้เด็กจับ แต่ไม่ควรให้เด็กกอดหมอนข้างหรือตุ๊กตาเพราะเด็กจะนอนคว่ำแล้วถูไถ อวัยวะเพศกับหมอนหรือตุ๊กตาได้
ถ้าลูกยังไม่ง่วงนอน ไม่ควรปล่อยให้ลูกนอนเองตามลำพัง เพราะช่วงเวลาว่างๆ ที่ไม่มีกิจกรรมลูกก็อาจมีพฤติกรรมนี้ได้อีก
- พ่อแม่ไม่ควรให้เด็กเห็นภาพความสัมพันธ์ทางเพศของผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์จริง จากหนังสือสิ่งพิมพ์ หรือวิดีโอ
- ผู้ใหญ่ไม่ควรหยอกล้อแสดงความเอ็นดูเด็กด้วยการจับอวัยวะเพศ หรือไซจมูกบริเวณอวัยวะเพศของเด็ก ควรชวนเด็กเล่นและทำกิจกรรมอย่างอื่นแทน
- อย่าให้เด็กแก้ผ้า เพราะเด็กจะจับต้องได้ง่าย
- ไม่สวมใส่กางเกงที่คับเกินไปให้กับลูก
- ในเด็กเล็กควรชวนเด็กเล่นและเบนความสนใจไปทำอย่างอื่น เด็กก็จะเลิกสนใจไปเองถ้ามีสิ่งอื่นให้ทำและสนุกกว่า
- พ่อแม่ไม่ควรกังวลใจในเรื่องนี้ให้มากนัก การเล่นอวัยวะเพศในเด็กไม่ได้เป็นปัญหาที่รุนแรงสามารถรักษาให้หายได้ โดยการปรับพฤติกรรมและเบี่ยงเบนความสนใจ การเล่นอวัยวะเพศในเด็ก ไม่ได้เป็นแบบเดียวกับการสำเร็จความใคร่ในผู้ใหญ่ แต่เป็นเพราะเด็กกระตุ้นอวัยวะเพศแล้วเกิดความพึงพอใจ ไม่ได้กลายเป็นปัญหาทางเพศหรือวิปริติทางเพศเมื่อโตขึ้น ดังนั้นพ่อแม่เมื่อเจอปัญหานี้ควรจัดการดังคำแนะนำข้างต้น ถ้าไม่ดีขึ้นลองปรึกษาจิตแพทย์

เหมือนได้รับคำปลอบใจเนอะ ก็ต้องแก้ไขกันไป

วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

สอนลูกรักสะอาด

ไปเจอบทความอีกล่ะค่ะ ลอกเค้ามาทั้งดุ้นเลย แต่โดนส่วนตัวคือเป็นแม่ที่มีมาตรฐานความสะอาดพอสมควร ไม่ถึงกับสกปรกไม่ได้ ลูกสามารถลุยขี้โคลน เล่นทราย ถอดรองเท้าเดินได้ แต่เวลาขึ้นบ้านต้องทำความสะอาดร่างกายให้เรียบร้อย ..อื่นๆก็รักษาความสะอาดตามปกติทั่วไป แต่เห็นด้วยกับการหัดให้ลูกรู้จักรักษาความตั้งแต่เล็กๆ เพราะอย่างลูกชายถ้ามือเปื้อนเค้าจะวิ่งไปล้างเอง วิธีหลอกล่อย่างหนึ่งคือ ทำหน้าว่ารังเกียจมากๆเมื่อเห็นมือลูกสกปรก(สายตาจ้องที่ความสกปรกนะคะ ไม่ใช่ทำหน้ารังเกียจลูก เดี๋ยวลูกเสียใจ) เอาล่ะ ลองอ่านอะไรที่เค้าเขียนแบบวิชาการดีกว่า

กุญแจสำคัญของการสร้างทัศนคติที่ดีในการทำความสะอาดร่างกาย คือการเริ่มสอนให้ลูกรู้จักดูแลความสะอาดตั้งแต่อายุน้อยๆ เพื่อสร้างนิสัยรักความสะอาด รักสุขภาพ ให้มีสุขอนามัยที่ดีในอนาคตโดยที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องคอยจ้ำจี้จ้ำไชเลยล่ะค่ะ

วัย 1-2 ขวบ
เด็กวัยนี้มีความกลัวมากกว่าเด็กวัยอื่นๆ ค่ะ หากมีเหตุการณ์ที่ทำให้กลัวเพียงครั้งเดียว ก็จะจดจำจนทำให้แก้ไขได้ยาก อย่างกรณีอาบน้ำ หากหนูน้อยคนไหนเคยโดนแชมพู หรือสบู่เข้าตา เขาจะกลายเป็นเด็กที่กลัวการอาบน้ำสระผมขึ้นสมองเลยค่ะ ดังนั้น จึงควรระมัดระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่ดีที่จะทำให้ลูกฝังใจได้
การสอนลูกในวัย 1-2 ขวบ เป็นการสอนให้เด็กได้ซึมซับ และเคยชินกับการดูแลความสะอาดเท่านั้น คุณยังจะต้องคอยช่วยจับมือลูกในการแปรงฟัน ให้ลูกได้ใช้ขันหรือฝักบัวในการราดน้ำเอง แต่ยังต้องมีคุณคอยช่วยถูสบู่อยู่ อย่าไปคาดหวังว่าลูกจะทำความสะอาดร่างกายได้สะอาดหมดจด และทำได้เองโดยไม่ต้องบอก เพราะแม้ว่าลูกวัยนี้จะสามารถหยิบจับ เดินเหินได้คล่องบ้างแล้วแต่ก็ยังเด็กเกินไปที่จะคิดทำอะไรได้ด้วยตัวเอง คุณพ่อคุณแม่จึงควรเป็นผู้ช่วย คอยแนะแนวทางปฏิบัติให้ลูกทีละขั้นตอน และทำให้เป็นกิจวัตร ซึ่งก็ต้องผนวกไปกับความสนุกและใช้เวลาสั้นๆ เพื่อไม่ให้ลูกรู้สึกเบื่อค่ะ

วัย 2-3 ขวบ
ลูกในวัย 2-3 ขวบ มีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นและต้องการแสดงศักยภาพที่ตัวเองมีอยู่ให้คุณได้เห็นเมื่อลูกมีความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น คุณก็ต้องเชื่อมั่นในศักยภาพของลูกด้วย ปล่อยให้เขาได้หัดทำอะไรด้วยตัวเองบ้าง ไม่ใช่พอลูกทำอะไรไม่ถูกก็รีบจัดการให้เสียทุกอย่าง จนลูกเกิดความเคยชินไม่ยอมทำด้วยตัวเองเพราะลูกรู้ว่าถ้าไม่ทำคุณก็จะทำให้ ยิ่งถ้าคุณบ่นเมื่อลูกทำอะไรไม่ถูก จะกลายเป็นการลดทอนความมั่นใจของลูกด้วยค่ะ
ทั้งถอดเสื้อผ้า รองเท้า ถุงเท้า ล้างหน้า อาบน้ำ ลูกวัยนี้สามารถทำได้เองค่ะ แต่ศักยภาพในการทำกิจกรรมต่างๆ จะยังไม่ดีเท่ากับผู้ใหญ่อย่างเราๆ ดังนั้นคุณจึงต้องคอยให้คำแนะนำที่ถูกต้อง เปิดโอกาสให้ลูกได้หัดแปรงฟัน อาบน้ำ สระผมด้วยตัวเอง โดยมีคุณคอยดูแลอยู่ข้างๆ ถ้าลูกเบื่อควรโยงกิจกรรมต่างๆ เข้ากับความสนุก พร้อมอธิบายให้ฟังว่าการดูแลความสะอาดร่างกายเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำทุกวัน ที่สำคัญ คุณต้องทำให้เป็นตัวอย่างเพื่อลูกจะได้เห็นว่าคุณก็ทำกิจกรรมเหล่านั้นทุกวันด้วยเหมือนกัน

แปรงสะอาด อาบสนุก สระสบาย
วิธีที่จะทำให้ช่วงเวลาแห่งการสอนลูกรักสะอาดเป็นเรื่องสนุกทำได้ดังนี้ค่ะ
เลือกเอง ปล่อยให้ลูกได้เลือกอุปกรณ์เกี่ยวกับการทำความสะอาดร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นแปรงสีฟัน แชมพู สบู่ หรือฟองน้ำขัดตัวด้วยตัวเอง แต่ต้องแน่ใจว่าของทุกชิ้นที่ลูกเลือกเหมาะกับช่วงวัยของลูกจริงๆ อย่างเช่นแปรงสีฟันควรจะเป็นแปรงที่ออกแบบมาสำหรับเด็ก แชมพู สบู่ที่อ่อนโยนต่อผิวบอบบาง เป็นต้น
หลากหลาย ให้ลูกได้มีแปรงสีฟัน แชมพู สบู่ ที่หลากหลาย เพื่อให้เป็นตัวเลือกที่เพิ่มความสนุกตื่นเต้นก่อนเริ่มกิจกรรมได้เหมือนกันค่ะ
สนุก หาของเล่นสำหรับเล่นเวลาอาบน้ำ อาจเป็นตุ๊กตาลอยน้ำได้ หรือที่เป่าฟองสบู่มาเล่นกับลูกขณะทำกิจกรรม อาจเปิดดนตรีคลอไปด้วย จะได้ทั้งความสนุกและบรรยากาศที่ผ่อนคลายค่ะ
ป้องกันได้ ชวนกันไปซื้อหมวกคลุมที่ใช้เวลาสระผมถามลูกว่าอยากได้สีไหนและอธิบายสรรพคุณ อย่างเช่น “หมวกเอาไว้ใส่เวลาสระผม กันแชมพูเข้าตาลูก ต่อไปนี้จะได้ไม่ต้องกลัวการสระผมแล้ว หนูอยากได้สีไหนจ๊ะ” เป็นต้น

สอนยังไง...ให้หนูทำ
คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าวัยนี้เป็นวัยต่อต้าน ที่สั่งให้ทำอะไรเป็นต้อง “ไม่ ไม่ ไม่” ทุกที
ซึ่งในความเป็นจริงเขาไม่ได้คิดจะต่อต้านหรือดื้อดึงอะไรกับคุณพ่อคุณแม่หรอกค่ะ เพียงแค่ต้องการแสดงความเป็นตัวของตัวเองออกมาอวดให้คุณเห็นเท่านั้นเอง
ดังนั้น ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่ต้องการขจัดปัญหาที่เวลาสั่งให้ลูกทำอะไร แล้วจะต้องได้รับคำตอบจากปากของลูกน้อยว่า “ไม่” ตลอดล่ะก็ “รักลูก” มีวิธีเปลี่ยนคำว่า “ไม่” เป็น “ได้จ๊ะ” มาฝากค่ะ
ทำเป็นกิจวัตร คุณพ่อคุณแม่ต้องทำให้ลูกคุ้นเคยกับการทำความสะอาดร่างกายอย่างเป็นประจำและสม่ำเสมอ โดยเลือกเวลาเดิม หรือใกล้เคียงเวลาเดิม เช่น อาบน้ำตอนตื่นนอน และก่อนเข้านอนทุกวัน แปรงฟัน หลังอาหารทุกครั้ง เป็นต้น
เปลี่ยนคำสั่งให้เป็นการชักชวน อย่างที่เราๆ ท่านๆ ทราบกันดีว่าลูกลูกวัย 1-3 ขวบ ไม่ชอบให้คุณพูดออกคำสั่งเท่าไรนัก คุณจึงควรหลีกเลี่ยงการบังคับหรือใช้น้ำเสียงที่แสดงถึงการออกคำสั่ง แต่หันมาใช้วิธีพูดเชิญชวนแทน เช่น พูดกับลูกว่า “วันนี้มาลองอาบน้ำด้วยสบู่กลิ่นใหม่ที่ลูกไปเลือกกับแม่มาดีไหมจ๊ะ” หรือว่า “วันนี้ลูกอยากใช้แปรงสีไหนแปรงฟันจ๊ะ” ถ้าเขายังไม่อยากทำก็อย่าบังคับค่ะ ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปดีที่สุด
เป็นตัวอย่างให้ลูกดู เมื่อถึงเวลาอาบน้ำ แปรงฟัน คุณพ่อคุณแม่อาจพูดมาลอยๆ ว่า “ทานอาหารเสร็จแล้วต้องแปรงฟัน ไปดูคุณแม่แปรงฟันกันไหมคะ” จากนั้นก็แปรงฟันให้ลูกดู ลูกจะค่อยๆ จดจำ และอยากจะทำทุกอย่างเหมือนบ้าง ตามลักษณะนิสัยชอบเลียนแบบของวัยนี้เลยค่ะ
ร่วมวงทำกิจกรรม ชวนลูกให้ทำกิจกรรมร่วมกันไม่ว่าจะแปรงฟัน อาบน้ำ สระผม ในกรณีอาบน้ำอย่าลืมว่า คุณจะต้องระวังเรื่องการแต่งกายของลูกด้วยนะคะ ต้องเริ่มสอนในเรื่องการปกปิดส่วนที่ไม่สมควรจะเปิดเผยให้ผู้อื่นเห็นได้แล้ว
พูดให้เห็นข้อดีของการทำความสะอาดร่างกาย เป้าหมายสูงสุดของการสอนให้รักสะอาด ก็คือ ช่วยให้ลูกรับรู้ว่าการดูแลความสะอาดร่างกายเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องปฏิบัติทุกวัน ฉะนั้น คุณจะต้องพูดข้อดีให้ลูกเห็นทั้งขณะและหลังทำความสะอาดร่างกายทุกครั้ง
อย่าลืมชดเชย อย่าลืม...พูดชมลูกทุกครั้งที่เขาทำกิจกรรมเสร็จ ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ลูกได้ค่ะ
ธรรมชาติของเด็กนั้นมีความอยากรู้ อยากเห็น และอยากทำอยู่แล้วเป็นทุนเดิมค่ะ การเปิดโอกาสให้ลูกได้ลองกิจกรรมใหม่ๆ นอกจาก กระตุ้นการเรียนรู้แล้ว ยังเพิ่มศักยภาพด้านต่างๆ ของลูกได้ด้วยนะคะ
แล้วคุณจะรู้ว่า...เจ้าตัวน้อยทำอะไรได้มากกว่าที่คุณคิดค่ะ.

(update 11 กรกฎาคม 2008)[ ที่มา.. นิตยสารรักลูก ปีที่ 26 ฉบับที่ 302 มีนาคม 2551 ]
...กราบขอบพระคุณ..