วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2554

การเตรียมตัวเมื่อมีนัดกับหมอ

เนื่องจากเป็นนักพบหมอมืออาชีพเนื่องจากมีโรคประจำตัว การไปพบหมอตามนัดจึงไม่ได้ทำให้เกิดความประหม่าแต่อย่างใด สิ่งที่อยากแนะนำอย่างยิ่งทั้งผู้ที่ป่วยและแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ คือ
1. จด(จำ)อาการต่างๆของตัวเองที่ควรจะเล่าให้หมอฟัง ถ้าเป็นอาการผิดปกติควรกาดอกจันไว้เลยว่าอย่าลืมบอกหมอเด็ดขาด เพราะหมอต้องถามอยู่แล้วสักประโยคว่า “เป็นอะไรมา”/ “มีอาการอย่างไรบ้าง”
2. จด(จำ)คำถามเกี่ยวกับการดูแลตัวเองที่อยากรู้ไว้ (บางทีไม่ต้องถามหมอก็จะแนะนำเราเองเมื่อวินิจฉัยอาการแล้ว อันนั้นค่อยขีดทิ้งก็ได้ ไม่เสียหาย)
3. เรามีสิทธิ์ที่จะทราบถึงกระบวนการในการรักษาและมีส่วนร่วมในการตัดสินใจรักษาโรคของเรา เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวที่จะถาม
แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ จากที่เคยเป็นด้วยตัวเอง คือจะถามเกินสิ่งที่ตัวเองเป็น ถามถึงสิ่งที่ตัวเองรับรู้มาแล้วไม่ทราบจริงเท็จเกิดความกังวล ....ซึ่งก็รู้สึกว่าเกินความจำเป็น แต่อยากรู้อ่ะ และด้วยความคิดที่ว่า เราอุตส่าห์เสียตังค์มาร.พ.เอกชน หมอต้องให้เวลาเรามากหน่อยสิ ไม่ใช่นั่งรอครึ่งชั่วโมง ตรวจ 5 นาที จ่ายค่ายา 300 ... (ร.พ.รัฐไม่ต้องพูดถึงนะคะ นานกว่านี้ ไม่ได้อคติแต่มันคือเรื่องจริงที่รัฐต้องยอมรับและนำไปปรับปรุง) ซึ่งทำให้สังเกตได้ว่าหมอออกจะรำคาญนิดส์ๆนะ จนมาเจอบทความในเวปไซต์ของ อ.หมอสัน์ ใจยอดศิลป์ ที่เป็นพิธีกรร่วมรายการ "The Symptom เกมหมอ ยอดนักสืบ" ทุกวันอาทิตย์ ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี 21:30 (โฆษณาให้เสียเลย เห็นเค้าว่าใกล้เทปสุดท้ายแล้วนะคะ) ท่านตอบคำถามเกี่ยวกับโรคต่างๆให้เข้าใจได้ง่าย ด้วยภาษาบ้านๆ มีเกือบทุกโรคที่เราอยากรู้ โดยเฉพาะเรื่องโรคประจำตัวที่เราเป็น ตอนนี้ปลอดโปร่งไร้คำถามเกี่ยวกับโรคนี้แล้ว นอกจากนี้ก็ได้รับรู้ความในใจของหมอว่า บางทีผู้ป่วยที่ต้องการการเอาใจใส่มากจากหมอ ถามนั่นโน่นนี่มากเกินไป(เหมือนที่เราเคยเป็น) หมอเขียนแบบขำๆว่า บางทีที่หมอรีบๆตรวจ เพราะเห็นใจคนไข้ที่นั่งรอข้างนอกห้องอีกโขยง บางครั้งหมอก็หิว(ใกล้เที่ยงแล้วยังไม่มีอะไรถึงท้องเลย ..ว่างั้น น่าสงสารเหมือนกันนะหมอเนี่ย) เอาเป็นว่าเราเสนอแนะทางออกให้กับคนช่างสงสัย(ถ้าเด็กก็เรียกเจ้าหนูจำไม ถ้าพวกแก่ๆแล้วไม่รู้จะเรียกอะไร..) ว่า เมื่อมีคำถามที่อยากรู้ ถ้ามีอินเตอร์เน็ตอยู่ในมือ ใช้ให้เป็นประโยชน์ก่อน อย่างเวปของอ.ก็แนะนำเพราะท่านตอบไว้หลายโรค น่าสนใจทีเดียว (http://www.health.co.th หรือรือเขียนไปถามคุณหมอที่ chaiyodsilp@gmail.com )
เมื่อถึงเวลาพบหมอตัวเป็นๆก็ค่อยถามสิ่งที่ยังไม่กระจ่างอีกที ไม่เสียเวลาหมอ เราก็ไม่เสียความรู้สึก เข้าอกเข้าใจกันทั้งสองฝ่าย happy ending ค่า

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

ชวนชอปให้ลูก

คราวนี้มาชอปเผื่อคุณลูกและของใช้อื่นๆกันค่ะ ต้องเรียบเรียงก่อนถึงของใช้ที่จำเป็น บางคนอาจจะถือ ไม่ซื้อของเด็กล่วงหน้า (แต่เราไม่ถืออ่ะค่ะ) ก็ทำรายการไว้ ค่อยให้คนที่บ้านไปซื้อให้ก็ได้ ถ้ามั่นใจว่าเขาจะซื้อของได้ถูกใจเรา(แต่เราไม่มั่นใจอ่ะค่ะ) วิธีของเรา สำหรับของที่สั่งทางอินเตอร์เน็ตได้ก็สั่งค่ะ มันเป็นการชอปที่ไม่ต้องเดินให้ขาบวมๆของเราเมื่อย แต่ถ้ามีของถูกใจในห้างแต่ยังไม่ซื้อก็จูงมือสามีไปดูเลยว่าชั้นจะเอาชิ้นนี้นะเธอ (อย่าได้ซื้อผิดเชียว)
พวกหนังสือคู่มือแม่มือใหม่ชอบแนะนำเวอร์ (ในความคิดเรา) เราไม่จำเป็นต้องทำตามหนังสือแป๊ะๆ ยืดหยุ่นให้เราสบายใจ สบายกระเป๋าดีกว่า เพราะเชื่อว่าคนส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลาง การจะซื้ออะไรแพงๆก็ดูจะไม่ค่อยเข้าทีกับรายรับ แต่ก็เข้าใจว่ามือใหม่ย่อมตื่นเต้น ยิ่งพวกที่ออกมานั่งอยู่กับบ้านอย่างเรามีเวลาว่างมากก็ยิ่งกังวลมาก เพื่อเป็นการหาอะไรทำแก้เซ็งด้ว เราก็ลองทำรายการสิ่งของที่หนังสือแนะนำมา เอาจำนวนที่เราว่าเราน่าจะใช้แค่ไหน แล้วค่อยตัดรายการที่ไม่จำเป็น(ฟุ่มเฟือย)ออก จำเป็นน้อย(ซื้อที่หลังก็ได้) เหลือของที่จำเป๊นจำเป็นมา
เราแบ่งประเภทของเป็น4อย่าง คือ 1.ของใช้ลูกที่ใช้ได้น๊านนาน ได้แก่พวก กะละมังอาบน้ำ ขวดนม ที่ล้างขวดนม ขวดนม หวี กรรไกรตัดเล็บ ของพวกนี้ซื้อดีๆหน่อยก็ได้คะ ถ้ามีอัฐพอ 2.ของใช้ตามช่วงอายุ เช่นพวกผ้าอ้อม เสื้อ กางเกง ถุงมือ ถุงเท้า หมวก แป๊บๆลูกโตก็ซื้อมากไปใช้ไม่ทันเสร็จคนอื่นอีก เพราะฉะนั้นซื้อเท่าที่ใช้จริงดีกว่า ถ้าแม่ไม่ได้เป็นดาราต้องออกงานบ่อยก็เอาธรรมดาๆก็ได้เนอะ 3.ของที่ใช้แล้วหมดไป จำพวก สบู่ แชมพู แป้ง นม อันนี้แหละที่ต้องประหยัดจากส่วนอื่นมาซื้อ 4.ของใช้แม่ พวกที่ปั๊มน้ำนม ถุงเก็บน้ำนม ชุดชั้นในให้นมลูก ค่อยให้คนที่บ้านซื้อให้ก็ได้ค่ะอย่างที่ปั๊มนม บางคนอาจมีน้ำนมเยอะจำเป็นต้องใช้ บางคนไม่มีน้ำนมซื้อมาไมได้ใช้อีก ซึ่งจะรู้ได้เมื่อเราคลอดลูกไปแล้วเท่านั้น ซื้อมาเตรียมไว้ถ้าไม่ได้ใช้ก็เสียดายตังค์ จากนั้นเราก็เข้าไปดูราคาของแต่ละอย่างเลือกให้สมเหตุสมผล และสมฐานะ ของบางอย่างใช้ไม่นานถ้าไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองหรือไม่ได้มีฐานะมากมายก็ซื้อที่พอใช้ได้ ของบางอย่างแพงยี่ห้อ คุณภาพไม่ได้วิเศษมากไปกว่าของราคาถูกเลย ประหยัดไว้ซื้ออย่างอื่นที่จำเป็นดีกว่าค่ะ
อย่างเราหาซื้อกรรไกรตัดเล็บให้ลูก ดูในเน็ต แพงมาก สี่-ห้าร้อย(ของยี่ห้ออ่ะค่ะ)ซื้อไม่ลง มาเจอในโลตัสราคาไม่ถึงร้อยเห็นก็ตัดเล็บลูกได้เหมือนกัน (แต่ใครมีปัญญาซื้อก็ไม่ว่ากันเนอะ ตามอัธยาศัย)
..แต่ประหยัดเพื่อลูกดีกว่านะ หนทางข้างหน้ายังมีเรื่องให้ต้องใช้เงินอีกเยอะ (ยังไม่ต้องรีบใช้หรอกจ้า..)

วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

แฟชั่นคุณแม่

เป็นความตั้งใจตั้งแต่ยังไม่ได้แต่งงาน ที่คิดเอาไว้ว่าจะไม่ใส่ชุคลุมแบบที่เค้าขายกันเกลื่อนตลาดนัดอย่างแน่นอน เพราะเคยไปเดินเลือกซื้อกับพี่ที่ทำงาน ชุดนึงสี่ร้อยกว่าบาท!! ลายยังกะชุดนอน แถมผ้าก็บ๊างบาง) เวลาจะใส่ถ้าเป็นชุดกางเกงต้องรอคู่มันอีก คนที่ต้องท้องโตอยู่ถึงเก้าเดือน จะต้องมีกี่ชุดกันล่ะ พอเลิกท้องจะเอาชุดพวกนี้ไปไว้ไหน...ไม่ๆๆๆๆ คิดสระตะแล้ว เราว่าไม่คุ้มอ่ะ มันต้องมีสิ ชุดที่เหมือนคนปกติทั่วไปใส่กัน เพียงแค่เราปรับให้มันเข้ากับคนท้อง มันต้องมีสิ ชุดคลุมท้องสำหรับคุณแม่ที่ยังอยากสวย ..ไม่งั้นคนท้องคงต้องห่อเหี่ยวกับชุดคลุมท้องภาคบังคับอย่างนั้นหรือ เมื่อเวลานั้นมาถึง เราลุยหาในเน็ต คำที่serchหาคือ “กางเกงยีนส์คนท้อง” ปัดโธ่! มันจะไม่มีได้ยังไง 555 ขึ้นมาเพียบ ทุกแบบทุกสไตล์ กางเกงสำหรับคุณแม่ที่ยังทำงานก็มี สวยๆทั้งนั้น เราเลือกมาตัวนึง สี่ร้อยกว่าบาท เป็นกางยีนส์ขายาว ความพิเศษของกางเกงยีนส์คนท้องคือเอวจะเป็นผ้ายืด และคิดแล้วราคายีนส์ทั่วไปก็ประมาณนี้อยู่แล้ว ใส่กับเสื้อได้หลากหลาย ยังไงก็คุ้มกว่า เอาไว้ใส่ตอนไปหาหมอ เราเองก็ใส่จนใกล้คลอดเลยที่เดียว ทำเอาคนเฒ่าคนแก่มองกันตาเหลือกเลยทีเดียว
นอกจากนี้ก็มี”กางเกงlegging”ที่เป็นผ้ายืด สีดำ เอาไว้ใส่กับเดรส สายเดี่ยวที่ชายบานๆหน่อย และก็กระโปรงเอี๊ยม ที่ใส่เสื้อแบบต่างๆไว้ข้างในได้ไม่มีเบื่อ สำหรับคนที่ไม่ได้ทำงานในช่วงที่ท้องชุดคลุมท้องไม่ค่อยจำเป็นนะ ในความคิดของเรา เพราะเราไม่จำเป็นต้องสวย เอาสบายก็พอ เราเลยชอบใส่เสื้อยืดตัวใหญ่ๆกับกางเกงเลหลากสี ในตู้เสื้อผ้าเราจึงไม่มีชุดคลุมท้องมาห้อยกวนสายตาเลย...