วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เลี้ยงลูกแบบผสมผสาน

เมื่อลูกเริ่มเติบโต มีพัฒนาการด้านต่างๆตามลำดับ สิ่งที่เรายึดเป็นหลักในการเลี้ยงลูกคือหนังสือ รองลงมาคือคำแนะนำจากผู้ใหญ่ แต่ก็อย่างที่จั่วหัวเรื่องไว้ เราไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใดอย่างหนักแน่น ใช้วิธียืดหยุ่นให้เหมาะสมกับจริตของแม่และลูก
บางอย่างที่สมัยใหม่แนะนำเว่อร์ไป ไฮโซเกินเหตุเราก็ตัดออกทำให้เหมาะสมกับฐานะ เช่น แนะนำให้ซื้อขวดนมเป็นโหล ผ้าอ้อมหลายๆโหล ของก็ต้องยี่ห้อนั่นนี่ พ่อเจ้าประคุณ แนะนำแบบไม่เกรงใจคนจนเลย ก็ใช้วิธีหาของตลาดๆที่ราคาสมเหตุสมผล คุณภาพดีก็พอ(นะลูก) หนังสือสำหรับแม่มือใหม่เดี๋ยวนี้เยอะมาก หลายเชื้อชาติด้วย เนื้อหาก็คล้ายๆกัน มีไว้มาเป็นguide lineกว้างๆสักเล่มสองเล่มก็พอ เปิดๆอ่านดูอันไหนถูกอัธยาศรัยก็อุดหนุนกันไป แหม จะว่าไปบางทีข้อมูลเหล่านี้หาได้ทั้งหมดฟรีๆในอินเตอร์เน็ตนะคะ แถมนมหลายๆยี่ห้อก็มีเวปส่วนตัวที่มีข้อมูลดีๆ แถมยังมีคนมาช่วยตอบข้อข้องใจให้ด้วย ส่วนข้อมูลที่นำมาใช้ก็เกี่ยวกับการตอบสนองอารมณ์ความต้องการของทารก การสังเกตพฤติกรรมลูก การรักษาความสะอาด ฯลฯ เหล่านี้แหละค่ะ
บางเรื่องของโบราณก็รับไม่ได้อย่างแรง เช่น การกวาดคอ (เป็นความเห็นส่วนตัว) เคยเห็นเพื่อนร่วมงานลูกชายเค้า ย่ากวาดคอให้ เห็นเป็นทอลซิลอักเสบซะทั้งพ่อทั้งลูก(โดนกวาดมาตั้งแต่รุ่นพ่อ) อีกทั้งบอกสามีว่า ชั้นไม่ยอมให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้เอามือที่มีเล็บดำๆมาล้วงคอลูกชั้นเด็ดขาด ถึงเธอยอมแต่ชั้นไม่ยอม!!!
เอาล่ะเดี๋ยวจะแรงเกิน ปู่ย่าตายายมาอ่านเจอจะรับไม่ได้ ..ต้องกล่าวซะหน่อยว่าที่รับได้ของโบราณก็มี เช่น ตอนลูกไข้ ผู้ใหญ่หาหญ้าเขียวๆมาตำแล้วโปะหัวลูกไว้ เราก็ยอมเพราะไมได้เสียหายอะไร พอเช้ามาไข้ลด โอ้โห้ ผู้ใหญ่คุยฟุ้ง เพราะไข้ลดหญ้าของท่าน(ทั้งๆที่เรานั่งเช็ดตัวให้ลูกทั้งคืนเลยนะ -_-) ก็เอาเถอะ ทำให้ผู้ใหญ่มีความสุขอย่าไปขัดคอท่านเลย อีกเรื่องที่ยอมให้คือยาบำรุงชื่อ “ยากุมาร” ท่านเห็นลูกไม่อ้วน เลย(บังคับ)ให้ไปซื้อมาให้ลูกกิน จะได้กินข้าวได้ ก็กินหมดไปหลายขวด ไม่เห็นจะอ้วนพีขึ้นมาเลย แม่แถมยาวิตามินฝรั่ง นมสำหรับเด็กเบื่ออาหารราคาแพง ลองมาแล้วทั้งนั้น ถ้าหันกลับมาดูสายพันธุ์ก็น่าจะยอมรับได้บ้างว่าลูกเราก็ต้องเหมือนเราสิ(ว่ะ) แรกๆก็เครียดที่มีคนทักเรื่องลูกไม่อ้วน ตอนนี้พอใจแล้ว แค่ลูกแข็งแรง ไม่ป่วยบ่อย พัฒนาการตามวัยก็พอใจแล้ว (แต่คนเราบางที สิ่งแวดล้อมที่มีคนมาพูดจุ๊กจิ๊กวิพากษ์วิจารณ์มากไปก็ทำให้จากที่มั่นใจเปลี่ยนเป็นไม่มั่นใจได้เหมือนกันนะ)
แต่ด้วยการวิเคราะห์ด้วยส่วนตัวแล้วพัฒนาการของเด็กทุกคนจะไม่มีมาตรฐานตายตัวไม่ว่าจะในหนังสือหรือจากประสบการณ์ของผู้ใหญ่ เด็กแต่ละคนจะมีความพร้อมในด้านต่างๆ ต่างกัน ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของคนเลี้ยงที่จะสังเกตและสนับสนุน เพิ่มพูนพัฒนาการต่างๆให้สมวัย ดังนั้นการเลี้ยงลูก ลูกจะเป็นคนบอกเราเองว่าเขาต้องการอะไร ไม่ต้องให้หนังสือเล่มไหนหรือใครมาบอก ถ้าเราเป็นแม่ที่ใส่ใจลูก เราจะรู้ได้เอง ส่วนคนอื่นๆที่มาแวะเวียนช่วยเลี้ยงลูกให้เรา เราก็ให้เขาเลี้ยงตามความเชื่อของเขา เพราะเราถือว่าเขาเข้ามาในระยะเวลาสั้นๆ และแม้การเลี้ยงดูจะแตกต่างลูกก็จะปรับตัวได้ ดีเสียอีก ลูกจะได้รู้จักปรับตัวเมื่ออยู่กับคนอื่นตั้งแต่เล็กๆ

วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554

กลัวลูกสายตาสั้น2

อีกบทความที่เสาะหามาแก้ไขข้อสงสัยของตนเอง ลองอ่านกันดูจ้ะ

โรคทางสายตาจากการใช้คอมพิวเตอร์ในเด็ก จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
โรคทางสายตาจากการใช้คอมพิวเตอร์ในเด็ก เป็นปัญหาที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน การนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ก่อให้เกิดความเครียดต่อดวงตาของเด็ก เนื่องจากคอมพิวเตอร์ได้มีการบังคับให้โฟกัสของดวงตามาอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ดังนั้นจึงก่อนให้เกิดความเครียดสูงมากกว่าการทำกิจกรรมอื่น ๆ
เมื่อ 20 ปีที่แล้ว เด็กมักจะทำกิจกรรมข้างนอกบ้าน แต่ปัจจุบัน ในแต่ล่ะวันเด็กนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ไม่เพียงแต่ที่บ้านแต่ยังรวมไปถึงที่โรงเรียน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหาทางสายตา ปัจจุบัน พ่อแม่ควรที่จะตระหนักถึงปัญหาด้านสายตาที่เกิดจากการใช้งานคอมพิวเตอร์ การใช้งานคอมพิวเตอร์โดยปราศจากการเคลื่อนไหว หรือการบริหารดวงตาย่อมส่งผลเสีย
เนื้อหา
• 1 ผลกระทบ
• 2 งานวิจัย
• 3 ข้อแนะนำ
• 4 ขั้นตอนของการลดความเครียดในดวงตา

ผลกระทบ
the American Optometric Association ได้กล่าวถึงผลกระทบของการใช้คอมพิวเตอร์ในเด็กโดยเกี่ยวข้องกับปัจจัยดังนี้
• เด็กไม่มีขีดจำกัดของการตระหนักในตัวเอง โดยอาจจะทำกิจกรรมกับคอมพิวเตอร์เป็นเวลา 2 - 3 ชั่วโมงโดยไม่มีการพัก
• เด็กมีความสามรถในการปรับตัว ทางสมาคมได้มีการคาดเดาว่า เด็กสามารถมองเห็นได้อย่างปกติถึงแม้ว่าการมองเห็นจะมีปัญหา นี่คือสิ่งที่มีความจำเป็นต่อพ่อแม่ในการควบคุมเวลาในการใช้งานของคอมพิวเตอร์
• คอมพิวเตอร์ เวิร์คสเตชันมักจะมีการออกแบบให้เข้ากับผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก ซึ่งเด็กจะมีร่างกายที่เล็กว่าผู้ใหญ่ ดังนั้นเด็กจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนองศาในการมอง โดยปกติผู้ใช้คอมพิวเตอร์ควรมีมุมในการมองจอคอมพิวเตอร์จากด้านบนลงล่างเล็กน้อยประมาร 15 องศา
งานวิจัย
• 90 % ของเด็กนักเรียนได้มีการใช้คอมพิวเตอร์ทั้งในโรงเรียนและที่บ้าน
• เด็กนักเรียน 54 ล้านคนในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้มีการใช้คอมพิวเตอร์ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียนตามลำพัง
• กุมารแพทย์ เชื่อว่าเด็กที่ใช้คอมพิวเตอร์อย่างหนักมีโอกาสเสี่ยเป็นโรคสายตาสั้น ซึ่งผลการศึกษาได้ชี้ให้เห็นว่าคอมพิวเตอร์มีผลกระทบด้านลบต่อการมองเห็นของเด็ก
• 25 % - 30 % ของการใช้คอมพิวเตอร์ในเด็ก ต้องการอุปกรณ์ทางสายตาที่เหมาะสม (แว่นตา , คอนแทคเลนส์ เป็นต้น) เพื่อที่จะทำงานได้อย่างเหมาะสมทั้งที่โรงเรียนและที่บ้าน (เป็นผลที่ได้จากการศึกษาวิจัยโดย University of California at Berkeley School of Optometry)
• เปอร์เซ็นโรคสายตาสั้นของเด็กในช่วงประถมมีการเพิ่มขึ้นจาก 12.1 % เป็น 20.4 % ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 (เป็นผลที่ได้จากการศึกษาวิจัยโดย Department of Health ในไต้หวัน)
• การศึกษาในลักษณะที่คล้าย ๆ กันของประเทศสิงคโปร์พบว่าภายใน 3 ปี เปอร์เซ็นของเด็กอายุ 7-9 ขวบ เป็นโรคสายตาสั้นเพิ่มขึ้นเท่าตัว
ข้อแนะนำ
กุมารแพทย์เชื่อว่าความเครียดที่เกิดขึ้นเกิดจาก การมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ (near-point world) มากกว่ากรรมพันธุ์ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดโรคสายตาสั้น เพื่อเป็นการป้องกันเด็กจาก Children and Computer Vision Syndrome (CVS) ควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้
1.ควรมีการตรวจสอบดวงตาอย่างละเอียด รวมทั้ง near-point (computer and reading)
2.เวิร์คสเตชันควรจัดให้เหมาะสมกับเด็ก
3.ระยะที่แนะนำระหว่างหน้าจอคอมพิวเตอร์กับดวงตาของเด็ก คือ 18-28 นิ้ว โดยการมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ใกล้กว่า 18 นิ้ว จะทำให้ดวงตาของเด็กเสี่ยงต่อการเกิดความเครียด
4.ควรปรับเปลี่ยนหน้าจอ และแสงภายในห้องไม่ให้จ้าเกินไป
5.พ่อแม่และคุณครูควรตระหนักถึงพฤติกรรมที่บ่งชี้ถึงปัญหาที่เป็นไปได้ที่อาจเกิดขึ้นกับดวงตาจากพฤติกรรมเหล่านี้ เช่น
o ตาแดง
o การขยี้ตาบ่อย ๆ
o คอเคล็ด
o ตามัว
o การล้าของดวงตา
ขั้นตอนของการลดความเครียดในดวงตา
1.ปรับแสงให้เหมาะสม
2.กำจัดแสงที่มาจากภายนอก
3.ลดความจ้าของหน้าจอคอมพิวเตอร์
4.ปรับเปลี่ยนความสว่างของหน้าจอคอมพิวเตอร์
5.กระพริบตาบ่อยขึ้น เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตา
6.บริหารดวงตาโดยการมองไปหาวัตุไกล ๆ 10-15 วินาทีและ มองหาวัตุถุใกล้ ๆ อีก 10-15 วินาที
7.ควรพัก 10 นาที ทุก ๆ 1 ชัวโมง
8.ปรับเปลี่ยนเวิร์คสเตชัน
9.บริหารร่างกายในขณะที่นั่งเพื่อเป็นการผ่อนคลาย เช่น ยืดแขน หรือขา เป็นต้น

..หวังว่าคงเป็นประโยชน์นะคะ

กลัวลูกสายตาสั้น1

เพราะปล่อยให้ลูกใช้คอมฯเองนานๆ อีกทั้งสังเกตว่าลูกกระพริบตาถี่เกิน ด้วยความกังวลจึงค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องสายตาสั้นในเด็ก เพราะเคยมีลูกของเพื่อนร่วมงานที่ต้องใส่แว่นตาหนาเตอะตั้งแต่ชั้นอนุบาล ..รับไม่ได้ถ้าลูกชายสุดหล่อจะถูกบดบังด้วยแว่นหนาๆ... เอาข้อมูลมาแบ่งปันค่ะ

เด็กสายตาสั้น (momypedia)โดย: ผศ.นพ.ธรรมนูญ สุรชาติกำธรกุล ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล

เด็กทารกแรกเกิดส่วนใหญ่มักจะสายตายาว แต่ก็มีบางส่วนที่จะมีสายตาสั้นได้ แม้ว่าสำหรับเด็กเล็กภาวะสายตาสั้นจะไม่ส่งผลกระทบเท่าไหร่ แต่หากสั้นมากก็อาจมีความเสี่ยงเรื่องโรคตาอื่น ๆ ได้

ต้นตอเด็กเล็กสายตาสั้น
ภาวะสายตาสั้น คือจะมองเห็นวัตถุที่ใกล้ชัดเจน ส่วนวัตถุที่ไกลมองเห็นไม่ชัดเจน ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เด็กเล็ดสายตาสั้นนั้น มีสาเหตุมาจากสิ่งเหล่านี้ค่ะ

1. กรรมพันธุ์ จากประสบการณ์ของการตรวจคนไข้ของหมอ พบว่าถ้าพ่อแม่มีสายตาสั้น ลูกที่เกิดมามักจะมีโอกาสสายตาสั้นมากกว่าคนทั่วไป ประมาณ 25% หรือหากพ่อแม่สายตาสั้นทั้งคู่ ลูกมีโอกาสสายตาสั้น 30-40%

2. สิ่งแวดล้อม จะพบเด็กสายตาสั้นได้บ่อยในกลุ่มเด็กที่เรียนหนังสือมาก เพราะต้องใช้สายตาเพ่งมองมาก ๆ และเพ่งมองใกล้ ๆ

กรรมพันธุ์และสิ่งแวดล้อมร่วมกัน นอกจากนี้ยังพบสายตาสั้นในเด็กที่คลอดก่อนกำหนด เพราะเด็กที่มีน้ำหนักแรกคลอดต่ำ มักมีจอประสาทตาเสื่อมจากการคลอดก่อนกำหนด หรือเด็กที่มีจอประสาทตาเสื่อมมองกลางคืนไม่ชัด เป็นต้น

รู้ได้อย่างไรว่าลูกสายตาสั้น
เด็กที่สายตาสั้นจะมองวัตถุที่ไกลไม่ชัด แต่เด็กเล็ก ๆ ไม่สามารถที่จะบอกพ่อแม่ให้รู้ได้ จึงต้องอาศัยจากการสังเกตพฤติกรรมหรือลักษณะท่าทาง เพราะลูกจะมีการปรับพฤติกรรมของตัวเอง ได้แก่ เอียงหน้ามอง (ทำให้ดูเหมือนตาเหล่ได้) หรี่ตามอง ขมวดคิ้วเวลาดู TV หรือวัตถุที่ไกล หรือลูกอาจจะชอบดูหนังสือใกล้ ๆ เพื่อให้มองเห็นชัดขึ้น

สำหรับเด็กอายุที่น้อยที่สุดที่พบสายตาสั้น อาจพบในทารกที่อายุไม่ถึง 1 เดือนก็ได้ โดยกลุ่มที่มีโอกาสเสี่ยงคือกลุ่มที่ครอบครัวมีประวัติสายตาสั้นหลายคน หรือมีสายตาสั้นมาก ๆ หรือเด็กที่คลอดก่อนกำหนด ซึ่งต้องได้รับการตรวจโดยจักษุแพทย์ แต่ถ้าสายตาสั้นไม่มาก ก็ไม่มีอันตรายอะไร แต่ถ้าสั้นมากจนเป็นพัน (-10.0 diopters) ก็จะมีความเสี่ยงเรื่องจอประสาทตาเสื่อม วุ้นตาเสื่อม จอประสาทตาลอก หรือต้อหินได้

สายตาสั้นแก้ไขได้
ถึงแม้ว่าเด็กเล็กสายตาสั้นจะพบได้น้อย แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ต้องเป็นกังวลนะครับ เพราะสายตาสั้นในเด็กสามารถแก้ไขได้

ใส่แว่น ถ้าลูกสายตาสั้นไม่มาก อาจไม่จำเป็นต้องใช้แว่น แต่ถ้าเข้าเรียนหนังสือ แล้วมองกระดานไม่ชัดเจน อาจทำให้การเรียนหนังสือตามเพื่อนไม่ทัน ก็มีความจำเป็นต้องใส่แว่น และแว่นที่ใส่ในเด็กควรเป็นแว่นราคาไม่แพง เลนส์ควรเป็นพลาสติก เพื่อเป็นการป้องกันการแตกของเลนส์ที่เป็นแก้ว แล้วบาดดวงตา

พ่อแม่บางท่าน มักสงสัยว่า การใส่แว่นตลอดและใส่แว่นแบบใส่ๆ ถอดๆ จะทำให้สายตาสั้นเพิ่มขึ้น แต่จริง ๆ แล้ว ไม่ว่าจะใส่แว่นตลอดเวลา หรือใส่ ๆ ถอด ๆ หรือไม่ใส่แว่นเลย เมื่อมีสายตาสั้นแล้ว สายตาสั้นจะเพิ่มทุกปี ปีละประมาณ 50-100 (0.5 – 1.0 diopter) ไปจนอายุประมาณ 20 ปีเศษๆ ก็จะหยุดสั้น

ใส่ Contact Lens ควรใช้ในเด็กที่โตแล้วและมีความรับผิดชอบ เพราะบางคนชอบใส่ Contact Lens เป็นแฟชั่น ไม่ดูแลรักษาความสะอาด จะทำให้เกิดภาวะตาอักเสบจากภูมิแพ้ หรืออักเสบติดเชื้อที่ตาได้ การใส่ Contact Lens ควรใส่ด้วยความระมัดระวัง และดูแลทำความสะอาดให้ดี

ผ่าตัดแก้ไขสายตาสั้น เช่น การใส่เลนส์เข้าภายในลูกตา หรือการใช้แสงเลเซอร์ (LASIK) ควรทำเมื่ออายุประมาณ 20 ปี ไปแล้วเพราะช่วงวัยนั้นสายตาสั้นเริ่มคงที่แล้วครับ

แม้ว่าจะมีเด็กเล็กเพียงส่วนน้อยที่สายตาสั้น แต่การรู้จักอาการสายตาสั้นไว้ เพื่อจะได้สังเกตอาการแต่เนิ่น ๆ ก็เป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ควรจะทำความเข้าใจไว้ครับ

...ยังไม่เข้าเกณฑ์ อีกทั้งทดสอบลูกโดยให้บอกตัวหนังสือที่อยู่ระยะไกลๆ เค้ายังบอกได้ น่าจะยังไม้ใช่ แต่ยังไงก็คงต้องระวังเรื่องการใช้คอมฯให้มากขึ้นค่ะ

หนาวแล้วจ้า ระวังลูกรักป่วย

เมื่อลูกป่วย โดยเฉพาะเด็กเล็ก ๆ พ่อแม่มักจะกังวลใจจนแทบจะป่วยไปกับลูก หรือ บางคนมีอาการหนักมากกว่าลูกเสียอีก เพราะไม่ทราบว่าควรจะดูแลลูกอย่างไรดี เมื่อมีอาการป่วยเกิดขึ้น ยิ่งช่วงนี้เข้าหน้าหนาว อากาศเปลี่ยน อย่างน้อยๆ เด็กในสังกัดเราก็คงน้ำมูกย้อยกันบ้างล่ะน่า ซึ่งอาการต่าง ๆ ที่เป็นและพบได้บ่อยมีดังนี้
ไข้ อาการไข้ เป็นสัญญาณของร่างกายที่บ่งบอกว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกาย ใช้ปรอทวัดไข้ วัดอุณหภูมิของร่างกาย ถ้าคุณพ่อคุณแม่วัดไข้ทางปากโดยให้ลูกอมปรอทไว้ใต้ลิ้น หุบปากสนิทนาน 1 นาที อ่านอุณหภูมิได้เกิน 37.8 C ถือว่ามีไข้ ถ้าวัดปรอททางรักแร้โดยหนีบปรอทแน่น 1 นาที อ่านอุณหภูมิเกิน 37.3 C ถือว่ามีไข้ หรือการวัดปรอททางทวารหนักในเด็กเล็ก เกิน 38 C จึงจะถือว่ามีไข้
สาเหตุของไข้ ดังได้กล่าวข้างต้นว่าใช้เป็นสัญญาณของความผิดปกติ ดังนั้นจึงต้องหาสาเหตุที่ทำให้ เกิดไข้ สาเหตุของไข้ที่พบได้บ่อยได้แก่
- จากโรคติดต่อ
- จากการได้รับวัคซีน
- จากการอักเสบ
- ไข้หลังผ่าตัด
- ไข้จากการขาดน้ำ
เมื่ออุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น เด็กจะตัวร้อน อาจมีหนาวสั่น ตัวแดงหน้าแดงหัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็ว ในเด็กโตจะบอกได้ว่า ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและข้อ อาการไข้สูงถ้าปล่อยทิ้งไว้ จะมีโอกาสชักได้ โดยเฉพาะในเด็กอายุ 6 เดือนถึง 5 ปี ควรทำการลดไข้ให้เร็วที่สุด ดังนี้
- ให้ลูกดื่มน้ำมาก ๆ
- อยู่ในที่มีลมถ่ายเทสะดวก หรือในห้องแอร์ที่ไม่เย็นจัด
- เช็ดตัวลดไข้ โดยถอดเสื้อผ้าเด็กออกให้หมด ใช้ผ้าขนหนูผืนเล็ก 2 – 3 ผืน ชุบน้ำธรรมดา สลับกันเช็ดตัวเด็กทั้งตัว โดยเน้นบริเวณซอกคอ รักแร้ ขาหนีบ และหลังจนกว่าไข้จะลดลง การใช้ผ้าโปะไว้เฉพาะบริเวณหน้าผาก ไม่ช่วยทำให้ ไข้ลดลง
- หลังเช็ดตัวแล้ว ควรใช้ผ้าแห้งซับให้แห้ง แล้วใส่เสื้อผ้าบาง เพื่อให้ร่างกายระบายความร้อนได้ดี
- ถ้ามียาลดไข้ Paracetamol ให้รับประทานตามแพทย์สั่ง รับประทานซ้ำได้ทุก 4-6 ชั่วโมง ถ้ายังมีไข้
ถ้าลูกยังมีไข้สูงติดต่อกัน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ควรพบแพทย์

หวัด อาการหวัด น้ำมูกไหล พบได้บ่อยในเด็ก เด็กที่อายุมากกว่า 6 เดือน จะพบได้ประมาณ 1-2 ครั้งต่อเดือน ใน 2-3 ขวบปีแรกที่ลูกเริ่มไปโรงเรียน จะเป็นหวัดได้บ่อย เนื่องจากที่โรงเรียนจะมี เด็กอยู่รวมกันมาก ทำให้ลูกติดหวัดจากเพื่อนได้ และเป็นวนเวียนกันไปเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อเด็ก โตขึ้น อายุเกิน 6 ปี อาการหวัดจะลดลงเหลือเพียง 2-3 ครั้งต่อปีเท่านั้น อาการหวัดจะพบได้บ่อย เมื่อมีอากาศเปลี่ยนแปลง อากาศเย็นหรือฝนตก อาการของหวัด จาม น้ำมูกไหล คัดจมูก ไอ มีไข้ ซึ่งอาการไข้มักมีอยู่ประมาณ 3 วัน ไม่เกิน 1 สัปดาห์ แต่อาการไออาจนานถึง 2-3 สัปดาห์ได้
สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัส
การดูแลรักษา เชื้อไวรัสหวัดเป็นเชื้อที่ยังไม่มียารักษา ดังนั้นการรักษาหวัด จึงเป็นการรักษาตามอาการ โดยที่ถ้ามีไข้ จะให้ยาลดไข้ เช็ดตัว ถ้ามีน้ำมูกมากให้ยาลดน้ำมูก ดื่มน้ำบ่อย ๆ พักผ่อนมาก ๆ ถ้าไอให้ยาละลายเสมหะ ดื่มน้ำอุ่น จะช่วยให้อาการหวัดดีขึ้น
เวลาลูกมีน้ำมูกไหล ไอจะดูแลอย่างไร
- ในเด็กเล็ก น้อยกว่า 6 เดือน ใช้ลูกยางแดงดูดน้ำมูกในจมูก ดูดเสมหะในคอ ก่อนมื้อนม หรือใช้ผ้านิ่มพันปลายแหลม ซับน้ำมูกในรูจมูก ไม่ควรใช้ยาลดน้ำมูก เพราะจะทำให้เสมหะแห้งเหนียว เด็กไอไม่ออกได้
- ในเด็กอายุมากกว่า 6 เดือน ถ้ามีน้ำมูกมากสามารถให้ยาลดน้ำมูกได้ ให้ยาละลายเสมหะเมื่อไอ
- ถ้าแน่น คัดจมูก ใช้ยาหยอดจมูกได้ แต่ไม่ควรหยอดติดต่อกันนานเกิน 4-5 วัน - ในเด็กโต ให้สั่งน้ำมูกเบา ๆ ถ้าลูกเป็นหลายวันแล้ว ยังมีน้ำมูกมาก เป็นยวงเขียว แสดงว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรีย แทรกซ้อน ควรพามาพบแพทย์เพื่อให้ยาปฏิชีวนะ แต่ถ้าน้ำมูกเริ่มแห้ง และเป็นสีเขียว แสดงว่ากำลัง หายจากหวัด ไม่ต้องให้ยาปฏิชีวนะ
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดได้ ได้แก่
- หูน้ำหนวก เด็กจะมีไข้สูง ปวดหู มีหนองไหลจากหู
- ไซนัสอักเสบ จะมีไข้ ปวดบริเวณหน้าผาก จมูก แก้ม น้ำมูกเขียวจำนวนมาก และมีกลิ่นเหม็น
- หลอดลมอักเสบ จะไอมาก หายใจแรง
- ปอดบวม จะมีไข้สูง ไอมาก หอบหายใจเร็วและแรง
เมื่อมีอาการดังกล่าว ควรรีบพบแพทย์

อาเจียน
เมื่อลูกอาเจียน คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตุลักษณะอาเจียนที่ออกมา ว่าเป็นเศษอาหาร เสมหะ สีอะไร อาเจียนแบบพุ่งหรือไม่พุ่ง เนื่องจากลักษณะอาเจียนต่าง ๆ จะช่วยในการวินิจฉัยโรคได้
อาเจียนเกิดจากอะไร สาเหตุของอาเจียนมีได้ ดังนี้
- จากสมอง มักมีอาเจียนพุ่ง
- จากทางเดินอาหาร เช่น การอุดตันของกระเพาะ ลำไส้ หรือมีการอักเสบ ของทางเดินอาหาร
- สาเหตุทางกายอื่น ๆ เช่น ไข้สูง ไซนัสอักเสบ คออักเสบ ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
- สาเหตุอื่น เช่น รับประทานอาหารมากเกินไป
เมื่ออาเจียนออกมาแล้วมักจะสะบายขึ้น เมื่อลูกอาเจียนจึงควรพบแพทย์ เพื่อหาสาเหตุและให้การรักษาต่อไป
ถ้าลูกอาเจียนจะดูแลอย่างไร
- ควรให้รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย โดยให้ทีละน้อย บ่อย ๆ
- ให้น้ำเกลือแร่ ORS เพื่อทดแทนเกลือแร่ที่เสียไปกับอาเจียน โดยให้จิบทีละน้อยและบ่อย ๆ
- ให้ยาแก้อาเจียนตามแพทย์สั่ง ควรให้รับประทาน 1/2 ชั่วโมงก่อนมื้ออาหาร
เมื่อมีอาเจียนมาก รับประทานอาหารหรือน้ำไม่ได้เลย ซึมลง มีอาการขาดน้ำ กระหม่อมบุ๋ม ปากแห้งมาก ตาโหล ผิวหนังเหี่ยว แพทย์จะพิจารณาให้น้ำเกลือทางเส้นเลือด และรักษาสาเหตุต่อไป

ท้องเสีย
อาการท้องเสีย คือ การถ่ายอุจจาระเป็นน้ำ มากกว่า 3 ครั้งต่อวัน หรือถ่ายเป็นมูกเลือด เกิดจากรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรค ได้แก่ เชื้อไวรัส แบคทีเรีย พยาธิ นอกจากนี้ยังเกิดจากโรคไม่ติดเชื้อได้ เช่น การแพ้นมวัว อาการท้องเสียพบได้บ่อยในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี หากเด็กขาดน้ำ และเกลือแร่ ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจจะช็อคและเสียชีวิตได้ อาการขาดน้ำมีตั้งแต่ รุนแรงน้อย จนถึง รุนแรงมาก ได้แก่ ริมฝีปากแห้ง กระหายน้ำ กระหม่อมบุ๋ม (ในเด็กอายุต่ำกว่าขวบครึ่งที่กระหม่อมยังไม่เปิด) ตาโหล ผิวหนังเหี่ยว ตัวเย็น หมดสติ
คุณพ่อคุณแม่ควรทำอย่างไรเมื่อลูกท้องเสีย
- ควรทดแทนน้ำและเกลือแร่ที่เสียไปทางอุจจาระ โดยให้น้ำเกลือผง ORS ดื่มแทนน้ำ ตามปริมาณอุจจาระที่เสียไป เมื่อผสมแล้วควรใช้ภายใน 1 วัน
- ไม่จำเป็นต้องงดอาหาร เพราะจะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารและพลังงาน ควรให้รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย งดผักผลไม้และอาหารมัน ๆ สามารถให้นมแม่ หรือนมกระป๋องได้ ควรให้ทีละน้อยแต่ให้บ่อย ๆ
- ไม่ควรให้ยาแห้ท้องเสีย เพราะจะทำให้ลำไส้หยุดทำงาน ลูกจะท้องอืดและเชื้อโรคยังคงค้างอยู่ในลำไส้ ทำให้ไม่หายจากโรค
- ถ้ายังมีอาการขาดน้ำมาก ลูกไม่สามารถรับประทานอาหารและน้ำได้ ควรรีบ มาพบแพทย์
จะป้องกันไม่ให้ลูกท้องเสียได้อย่างไร
- รับประทานอาหารสุก สะอาด ไม่มีแมลงวันตอม
- ฝึกสุขนิสัยที่ดี ล้างมือให้สะอาดหลังเข้าห้องน้ำและก่อนรับประทานอาหาร
- ทำความสะอาดภาชนะใส่อาหาร ขวดนม
- เด็กเล็กที่ชอบหยิบของใส่ปากควรทำความสะอาดของเล่นอยู่เสมอ เพียงเท่านี้ คุณก็สามารถดูแลลูกให้ปราศจากท้องเสียได้

ชัก
อาการชักในเด็ก เป็นอาการที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ดังนั้นคุณพ่อ คุณแม่ควรจะเตรียมตัวไว้ เผื่อมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับลูก จะได้มีสติและให้การดูแลก่อนที่จะนำส่งแพทย์ เนื่องจากเด็กมักชักไม่นาน เมื่อมาถึงมือแพทย์ส่วนใหญ่จะหยุดชักแล้ว
อาการชัก เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าในสมอง ทำให้มีอาการดังนี้ ร้องสั้น ๆ กล้ามเนื้อแข็ง เกร็งกระตุก หยุดหายใจชั่วคราว ตาเหลือก ปากเขียว น้ำลายฟูมปาก ปัสสาวะอุจจาระราด หมดสติ เมื่อหยุดชักอาจมีสับสน ง่วงนอนได้
ชักเกิดจากอะไร สาเหตุของชักในเด็ก มีได้หลายสาเหตุ ที่พบบ่อยมีดังนี้
- ไข้สูง
- ติดเชื้อในสมอง
- โรคลมชัก
- สมองขาดออกซิเจน
- บาดเจ็บที่ศีรษะ
อาการชักจากไข้สูง เป็นสาเหตุที่พบบ่อยในเด็กอายุ 6 เดือนถึง 5 ปี โดยเฉพาะในเด็ก ที่มีประวัติชักในครอบครัว มีพี่น้อยเคยชักจากไข้สูง จะมีโอกาสเสี่ยงมากขึ้น อาการชักไม่เกิน 15 นาที เป็นการชักทั้งตัว และไม่มีความผิดปกติทางระบบประสาท
เมื่อลูกชักควรให้การดูแล ดังนี้
- เอาตัวออกจากสิ่งที่เป็นอันตราย มานอนในที่ปลอดภัย โดยให้นอนตะแคงหน้า ไปด้านใดด้านหนึ่ง
- ปลดเสื้อผ้าให้หลวม ไม่ควรกดท้อง จะทำให้เกิดอันตรายต่ออวัยวะภายในได้ - ไม่ควรใช้สิ่งของหรือนิ้วมืองัดปาก เนื่องจากเวลาเด็กชักไม่ค่อยพบว่ากัดลิ้นตัวเอง แต่จะเป็นอันตรายมากกว่าถ้าใช้สิ่งของงัดปาก
- ดุแลเรื่องการหายใจ ถ้าหยุดหายใจให้เป่าปาก
- ห้ามกรอกยาหรือเครื่องดื่มใด ๆ ระหว่างชัก เพราะจะทำให้สำลักเข้าหลอดลมได้
- สังเกตอาการชัก และอยู่กับลูกจนหยุดชัก
- ถ้ามีไข้สูง ให้เช็ดตัวลดไข้
- ในรายที่เคยชักและมียาเหน็บแก้ชักให้เหน็บยาทางทวารหนักตามแพทย์สั่ง
- รีบนำส่งโรงพยาบาล เพื่อการตรวจวินิจฉัยและให้การรักษาต่อไป
" ลูก " เป็นแก้วตาดวงใจของพ่อแม่ อาการเจ็บป่วยของลูก บางครั้งการให้การดูแล เบื้องต้นอย่างถูกวิธี จะสามารถช่วยให้ลูกเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์ แข็งแรง สุขภาพดี เป็นผู้ใหญ่ที่มี ประสิทธิภาพ และเป็นกำลังสำคัญของชาติสืบไป
เรียบเรียงจาก "อาการป่วยที่พบบ่อยในเด็ก" โดย แพทย์หญิง วรรณสิริ วรรณสถิตย์ "สาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพ

คิดได้ เมื่อน้ำท่วม

ข่าวน้ำท่วมครั้งใหญ่ของประเทศไทยเรา ทำให้การเขียนบล็อกของเราชะงักไปชั่วขณะ แม้ที่อาศัยจะไม่ท่วม แต่ความเป็นห่วงกังวลทำให้ติดตามข่าวสารตั้งแต่เห็นการท่วมที่ จ.อ่างทอง เรารู้สึกว่ามันค่อนข้างหนักหนา เชื่อว่าหลายๆคนก็น่าจะรู้สึก แต่ทำไมรัฐบาลผู้มีหน้าที่รับผิดชอบประเทศจึงไม่รู้สึกก็ไม่รู้...เอาล่ะ งดเรื่องการเมืองในบล็อกเบาๆนี้ดีกว่า
สิ่งที่อยากจะพูดถึงในครั้งนี้อาจเป็นมุมมองที่แตกต่างจากคนอื่น ในฐานะเป็นคนรุ่นใหม่ที่ตัดสินใจเข้าสู่แวดวงเกษตรกรรม ท่วมกลางความไม่มั่นใจของตัวเองและคนรอบข้าง..มากมายหลายเหตุผล หากยกมา ณ ที่นี้คงจะยืดยาว เอาเป็นว่า ในช่วงแรกของการมาประกอบอาชีพเกษตรกรของนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรไฟฟ้า ค่อนข้างทำใจลำบากสำหรับเราที่ไม่มีประสบการณ์เรื่องนี้เลย สามีก็เคยมีประสบการณ์บ้างแต่ไม่ได้ลงมือทำเต็มตัว อาศัยใจอย่างเดียวเลยก็ว่าได้ บ้าบิ่นพอดู..
ช่วงเวลาก่อนน้ำท่วม มีความรู้สึกน้อยอกน้อยใจบ้างที่เห็นเพื่อนมีเงินเดือน มีวันหยุดได้เที่ยวเมืองนอก ถ่ายรูปหน้าขาวๆอัพโหลดขึ้นเฟสบุค (คนเราชอบน้อยใจในสิ่งที่ตัวเองไม่มี ไม่ค่อยพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่)
ทั้งที่เราเองก็มีเงินใช้จ่ายตามปกติ จะกินMK KFC Pizza ก็ได้กินปกติ มีโน้ตบุคให้เล่นเน็ต(ถึงจะไม่เร็วปี๊ดก็เถอะ) แถมยังได้อยู่ในที่ๆมีอากาศดี ไร้มลพิษ ไม่ต้องเร่งรีบ ไม่มีเจ้านาย ...ก็พยายามปลอบในตัวเองแต่ก็ยังมีแว๊บๆให้รู้สึกอยู่
ช่วงเวลาน้ำท่วม ผู้คนลำบาก ตกงาน อาหารขาดแคลน ฯลฯ ทำให้จิตหดหู่ไม่น้อย และได้สิ่งที่สอนตัวเราเองคือสิ่งที่เราเลือกนั้นช่างดีเหลือเกินแล้ว ขอโทษหากคำกล่าวเหล่านี้จะกระทบกระเทือนใจใคร คิดดูว่า ในขณะที่คนมีเงินเดือน แต่พอน้ำท่วมกลับหาอะไรจะให้ซื้อยังลำบาก แต่เราสามารถไปตัดผักในไร่มากินได้ไม่ต้องใช้เงิน ไม่ได้จะเยาะเย้ยใคร จุดประสงค์คือเพียงแค่หลังน้ำลด ลองปลูกผักใส่กระถางไว้ที่ระเบียงหลังห้องเช่า คอนโด ข้างกำแพงบ้าน เผื่อน้ำท่วมอีก อย่างน้อยๆก็มีผักไว้กิน ไม่ต้องกินแต่มาม่า ปลากระป๋องไงคะ ผักปลูกง่ายค่ะ confirm!
มันอาจไม่เร็วเหมือนควักเงินซื้อมา แต่ช่วงเวลาที่เราไปรดน้ำทุกวัน ดีใจที่เห็นยอดผักโผล่มาจากดิน ปลาบปลื้มมื่อเห็นใบเห็นดอก ตื่นเต้นเมื่อเห็นผล สุขใจเมื่อเก็บมาทำกับข้าวกิน ภูมิใจที่ได้กินผักที่ตัวเองปลูก มันเยอะอ่ะ..
เป็นกำลังใจให้คนไทยทุกคน เผ่าพันธุ์เชื้อชาติไทย ยิ้มสู้ได้ทุกสถานการณ์ เราจะผ่าวันเวลาที่เลวร้ายไปด้วยกัน