วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เลี้ยงลูกแบบผสมผสาน

เมื่อลูกเริ่มเติบโต มีพัฒนาการด้านต่างๆตามลำดับ สิ่งที่เรายึดเป็นหลักในการเลี้ยงลูกคือหนังสือ รองลงมาคือคำแนะนำจากผู้ใหญ่ แต่ก็อย่างที่จั่วหัวเรื่องไว้ เราไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใดอย่างหนักแน่น ใช้วิธียืดหยุ่นให้เหมาะสมกับจริตของแม่และลูก
บางอย่างที่สมัยใหม่แนะนำเว่อร์ไป ไฮโซเกินเหตุเราก็ตัดออกทำให้เหมาะสมกับฐานะ เช่น แนะนำให้ซื้อขวดนมเป็นโหล ผ้าอ้อมหลายๆโหล ของก็ต้องยี่ห้อนั่นนี่ พ่อเจ้าประคุณ แนะนำแบบไม่เกรงใจคนจนเลย ก็ใช้วิธีหาของตลาดๆที่ราคาสมเหตุสมผล คุณภาพดีก็พอ(นะลูก) หนังสือสำหรับแม่มือใหม่เดี๋ยวนี้เยอะมาก หลายเชื้อชาติด้วย เนื้อหาก็คล้ายๆกัน มีไว้มาเป็นguide lineกว้างๆสักเล่มสองเล่มก็พอ เปิดๆอ่านดูอันไหนถูกอัธยาศรัยก็อุดหนุนกันไป แหม จะว่าไปบางทีข้อมูลเหล่านี้หาได้ทั้งหมดฟรีๆในอินเตอร์เน็ตนะคะ แถมนมหลายๆยี่ห้อก็มีเวปส่วนตัวที่มีข้อมูลดีๆ แถมยังมีคนมาช่วยตอบข้อข้องใจให้ด้วย ส่วนข้อมูลที่นำมาใช้ก็เกี่ยวกับการตอบสนองอารมณ์ความต้องการของทารก การสังเกตพฤติกรรมลูก การรักษาความสะอาด ฯลฯ เหล่านี้แหละค่ะ
บางเรื่องของโบราณก็รับไม่ได้อย่างแรง เช่น การกวาดคอ (เป็นความเห็นส่วนตัว) เคยเห็นเพื่อนร่วมงานลูกชายเค้า ย่ากวาดคอให้ เห็นเป็นทอลซิลอักเสบซะทั้งพ่อทั้งลูก(โดนกวาดมาตั้งแต่รุ่นพ่อ) อีกทั้งบอกสามีว่า ชั้นไม่ยอมให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้เอามือที่มีเล็บดำๆมาล้วงคอลูกชั้นเด็ดขาด ถึงเธอยอมแต่ชั้นไม่ยอม!!!
เอาล่ะเดี๋ยวจะแรงเกิน ปู่ย่าตายายมาอ่านเจอจะรับไม่ได้ ..ต้องกล่าวซะหน่อยว่าที่รับได้ของโบราณก็มี เช่น ตอนลูกไข้ ผู้ใหญ่หาหญ้าเขียวๆมาตำแล้วโปะหัวลูกไว้ เราก็ยอมเพราะไมได้เสียหายอะไร พอเช้ามาไข้ลด โอ้โห้ ผู้ใหญ่คุยฟุ้ง เพราะไข้ลดหญ้าของท่าน(ทั้งๆที่เรานั่งเช็ดตัวให้ลูกทั้งคืนเลยนะ -_-) ก็เอาเถอะ ทำให้ผู้ใหญ่มีความสุขอย่าไปขัดคอท่านเลย อีกเรื่องที่ยอมให้คือยาบำรุงชื่อ “ยากุมาร” ท่านเห็นลูกไม่อ้วน เลย(บังคับ)ให้ไปซื้อมาให้ลูกกิน จะได้กินข้าวได้ ก็กินหมดไปหลายขวด ไม่เห็นจะอ้วนพีขึ้นมาเลย แม่แถมยาวิตามินฝรั่ง นมสำหรับเด็กเบื่ออาหารราคาแพง ลองมาแล้วทั้งนั้น ถ้าหันกลับมาดูสายพันธุ์ก็น่าจะยอมรับได้บ้างว่าลูกเราก็ต้องเหมือนเราสิ(ว่ะ) แรกๆก็เครียดที่มีคนทักเรื่องลูกไม่อ้วน ตอนนี้พอใจแล้ว แค่ลูกแข็งแรง ไม่ป่วยบ่อย พัฒนาการตามวัยก็พอใจแล้ว (แต่คนเราบางที สิ่งแวดล้อมที่มีคนมาพูดจุ๊กจิ๊กวิพากษ์วิจารณ์มากไปก็ทำให้จากที่มั่นใจเปลี่ยนเป็นไม่มั่นใจได้เหมือนกันนะ)
แต่ด้วยการวิเคราะห์ด้วยส่วนตัวแล้วพัฒนาการของเด็กทุกคนจะไม่มีมาตรฐานตายตัวไม่ว่าจะในหนังสือหรือจากประสบการณ์ของผู้ใหญ่ เด็กแต่ละคนจะมีความพร้อมในด้านต่างๆ ต่างกัน ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของคนเลี้ยงที่จะสังเกตและสนับสนุน เพิ่มพูนพัฒนาการต่างๆให้สมวัย ดังนั้นการเลี้ยงลูก ลูกจะเป็นคนบอกเราเองว่าเขาต้องการอะไร ไม่ต้องให้หนังสือเล่มไหนหรือใครมาบอก ถ้าเราเป็นแม่ที่ใส่ใจลูก เราจะรู้ได้เอง ส่วนคนอื่นๆที่มาแวะเวียนช่วยเลี้ยงลูกให้เรา เราก็ให้เขาเลี้ยงตามความเชื่อของเขา เพราะเราถือว่าเขาเข้ามาในระยะเวลาสั้นๆ และแม้การเลี้ยงดูจะแตกต่างลูกก็จะปรับตัวได้ ดีเสียอีก ลูกจะได้รู้จักปรับตัวเมื่ออยู่กับคนอื่นตั้งแต่เล็กๆ

วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554

กลัวลูกสายตาสั้น2

อีกบทความที่เสาะหามาแก้ไขข้อสงสัยของตนเอง ลองอ่านกันดูจ้ะ

โรคทางสายตาจากการใช้คอมพิวเตอร์ในเด็ก จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
โรคทางสายตาจากการใช้คอมพิวเตอร์ในเด็ก เป็นปัญหาที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน การนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ก่อให้เกิดความเครียดต่อดวงตาของเด็ก เนื่องจากคอมพิวเตอร์ได้มีการบังคับให้โฟกัสของดวงตามาอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ดังนั้นจึงก่อนให้เกิดความเครียดสูงมากกว่าการทำกิจกรรมอื่น ๆ
เมื่อ 20 ปีที่แล้ว เด็กมักจะทำกิจกรรมข้างนอกบ้าน แต่ปัจจุบัน ในแต่ล่ะวันเด็กนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ไม่เพียงแต่ที่บ้านแต่ยังรวมไปถึงที่โรงเรียน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหาทางสายตา ปัจจุบัน พ่อแม่ควรที่จะตระหนักถึงปัญหาด้านสายตาที่เกิดจากการใช้งานคอมพิวเตอร์ การใช้งานคอมพิวเตอร์โดยปราศจากการเคลื่อนไหว หรือการบริหารดวงตาย่อมส่งผลเสีย
เนื้อหา
• 1 ผลกระทบ
• 2 งานวิจัย
• 3 ข้อแนะนำ
• 4 ขั้นตอนของการลดความเครียดในดวงตา

ผลกระทบ
the American Optometric Association ได้กล่าวถึงผลกระทบของการใช้คอมพิวเตอร์ในเด็กโดยเกี่ยวข้องกับปัจจัยดังนี้
• เด็กไม่มีขีดจำกัดของการตระหนักในตัวเอง โดยอาจจะทำกิจกรรมกับคอมพิวเตอร์เป็นเวลา 2 - 3 ชั่วโมงโดยไม่มีการพัก
• เด็กมีความสามรถในการปรับตัว ทางสมาคมได้มีการคาดเดาว่า เด็กสามารถมองเห็นได้อย่างปกติถึงแม้ว่าการมองเห็นจะมีปัญหา นี่คือสิ่งที่มีความจำเป็นต่อพ่อแม่ในการควบคุมเวลาในการใช้งานของคอมพิวเตอร์
• คอมพิวเตอร์ เวิร์คสเตชันมักจะมีการออกแบบให้เข้ากับผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก ซึ่งเด็กจะมีร่างกายที่เล็กว่าผู้ใหญ่ ดังนั้นเด็กจึงต้องมีการปรับเปลี่ยนองศาในการมอง โดยปกติผู้ใช้คอมพิวเตอร์ควรมีมุมในการมองจอคอมพิวเตอร์จากด้านบนลงล่างเล็กน้อยประมาร 15 องศา
งานวิจัย
• 90 % ของเด็กนักเรียนได้มีการใช้คอมพิวเตอร์ทั้งในโรงเรียนและที่บ้าน
• เด็กนักเรียน 54 ล้านคนในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้มีการใช้คอมพิวเตอร์ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียนตามลำพัง
• กุมารแพทย์ เชื่อว่าเด็กที่ใช้คอมพิวเตอร์อย่างหนักมีโอกาสเสี่ยเป็นโรคสายตาสั้น ซึ่งผลการศึกษาได้ชี้ให้เห็นว่าคอมพิวเตอร์มีผลกระทบด้านลบต่อการมองเห็นของเด็ก
• 25 % - 30 % ของการใช้คอมพิวเตอร์ในเด็ก ต้องการอุปกรณ์ทางสายตาที่เหมาะสม (แว่นตา , คอนแทคเลนส์ เป็นต้น) เพื่อที่จะทำงานได้อย่างเหมาะสมทั้งที่โรงเรียนและที่บ้าน (เป็นผลที่ได้จากการศึกษาวิจัยโดย University of California at Berkeley School of Optometry)
• เปอร์เซ็นโรคสายตาสั้นของเด็กในช่วงประถมมีการเพิ่มขึ้นจาก 12.1 % เป็น 20.4 % ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2538 (เป็นผลที่ได้จากการศึกษาวิจัยโดย Department of Health ในไต้หวัน)
• การศึกษาในลักษณะที่คล้าย ๆ กันของประเทศสิงคโปร์พบว่าภายใน 3 ปี เปอร์เซ็นของเด็กอายุ 7-9 ขวบ เป็นโรคสายตาสั้นเพิ่มขึ้นเท่าตัว
ข้อแนะนำ
กุมารแพทย์เชื่อว่าความเครียดที่เกิดขึ้นเกิดจาก การมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ (near-point world) มากกว่ากรรมพันธุ์ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดโรคสายตาสั้น เพื่อเป็นการป้องกันเด็กจาก Children and Computer Vision Syndrome (CVS) ควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้
1.ควรมีการตรวจสอบดวงตาอย่างละเอียด รวมทั้ง near-point (computer and reading)
2.เวิร์คสเตชันควรจัดให้เหมาะสมกับเด็ก
3.ระยะที่แนะนำระหว่างหน้าจอคอมพิวเตอร์กับดวงตาของเด็ก คือ 18-28 นิ้ว โดยการมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ใกล้กว่า 18 นิ้ว จะทำให้ดวงตาของเด็กเสี่ยงต่อการเกิดความเครียด
4.ควรปรับเปลี่ยนหน้าจอ และแสงภายในห้องไม่ให้จ้าเกินไป
5.พ่อแม่และคุณครูควรตระหนักถึงพฤติกรรมที่บ่งชี้ถึงปัญหาที่เป็นไปได้ที่อาจเกิดขึ้นกับดวงตาจากพฤติกรรมเหล่านี้ เช่น
o ตาแดง
o การขยี้ตาบ่อย ๆ
o คอเคล็ด
o ตามัว
o การล้าของดวงตา
ขั้นตอนของการลดความเครียดในดวงตา
1.ปรับแสงให้เหมาะสม
2.กำจัดแสงที่มาจากภายนอก
3.ลดความจ้าของหน้าจอคอมพิวเตอร์
4.ปรับเปลี่ยนความสว่างของหน้าจอคอมพิวเตอร์
5.กระพริบตาบ่อยขึ้น เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดวงตา
6.บริหารดวงตาโดยการมองไปหาวัตุไกล ๆ 10-15 วินาทีและ มองหาวัตุถุใกล้ ๆ อีก 10-15 วินาที
7.ควรพัก 10 นาที ทุก ๆ 1 ชัวโมง
8.ปรับเปลี่ยนเวิร์คสเตชัน
9.บริหารร่างกายในขณะที่นั่งเพื่อเป็นการผ่อนคลาย เช่น ยืดแขน หรือขา เป็นต้น

..หวังว่าคงเป็นประโยชน์นะคะ

กลัวลูกสายตาสั้น1

เพราะปล่อยให้ลูกใช้คอมฯเองนานๆ อีกทั้งสังเกตว่าลูกกระพริบตาถี่เกิน ด้วยความกังวลจึงค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องสายตาสั้นในเด็ก เพราะเคยมีลูกของเพื่อนร่วมงานที่ต้องใส่แว่นตาหนาเตอะตั้งแต่ชั้นอนุบาล ..รับไม่ได้ถ้าลูกชายสุดหล่อจะถูกบดบังด้วยแว่นหนาๆ... เอาข้อมูลมาแบ่งปันค่ะ

เด็กสายตาสั้น (momypedia)โดย: ผศ.นพ.ธรรมนูญ สุรชาติกำธรกุล ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล

เด็กทารกแรกเกิดส่วนใหญ่มักจะสายตายาว แต่ก็มีบางส่วนที่จะมีสายตาสั้นได้ แม้ว่าสำหรับเด็กเล็กภาวะสายตาสั้นจะไม่ส่งผลกระทบเท่าไหร่ แต่หากสั้นมากก็อาจมีความเสี่ยงเรื่องโรคตาอื่น ๆ ได้

ต้นตอเด็กเล็กสายตาสั้น
ภาวะสายตาสั้น คือจะมองเห็นวัตถุที่ใกล้ชัดเจน ส่วนวัตถุที่ไกลมองเห็นไม่ชัดเจน ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เด็กเล็ดสายตาสั้นนั้น มีสาเหตุมาจากสิ่งเหล่านี้ค่ะ

1. กรรมพันธุ์ จากประสบการณ์ของการตรวจคนไข้ของหมอ พบว่าถ้าพ่อแม่มีสายตาสั้น ลูกที่เกิดมามักจะมีโอกาสสายตาสั้นมากกว่าคนทั่วไป ประมาณ 25% หรือหากพ่อแม่สายตาสั้นทั้งคู่ ลูกมีโอกาสสายตาสั้น 30-40%

2. สิ่งแวดล้อม จะพบเด็กสายตาสั้นได้บ่อยในกลุ่มเด็กที่เรียนหนังสือมาก เพราะต้องใช้สายตาเพ่งมองมาก ๆ และเพ่งมองใกล้ ๆ

กรรมพันธุ์และสิ่งแวดล้อมร่วมกัน นอกจากนี้ยังพบสายตาสั้นในเด็กที่คลอดก่อนกำหนด เพราะเด็กที่มีน้ำหนักแรกคลอดต่ำ มักมีจอประสาทตาเสื่อมจากการคลอดก่อนกำหนด หรือเด็กที่มีจอประสาทตาเสื่อมมองกลางคืนไม่ชัด เป็นต้น

รู้ได้อย่างไรว่าลูกสายตาสั้น
เด็กที่สายตาสั้นจะมองวัตถุที่ไกลไม่ชัด แต่เด็กเล็ก ๆ ไม่สามารถที่จะบอกพ่อแม่ให้รู้ได้ จึงต้องอาศัยจากการสังเกตพฤติกรรมหรือลักษณะท่าทาง เพราะลูกจะมีการปรับพฤติกรรมของตัวเอง ได้แก่ เอียงหน้ามอง (ทำให้ดูเหมือนตาเหล่ได้) หรี่ตามอง ขมวดคิ้วเวลาดู TV หรือวัตถุที่ไกล หรือลูกอาจจะชอบดูหนังสือใกล้ ๆ เพื่อให้มองเห็นชัดขึ้น

สำหรับเด็กอายุที่น้อยที่สุดที่พบสายตาสั้น อาจพบในทารกที่อายุไม่ถึง 1 เดือนก็ได้ โดยกลุ่มที่มีโอกาสเสี่ยงคือกลุ่มที่ครอบครัวมีประวัติสายตาสั้นหลายคน หรือมีสายตาสั้นมาก ๆ หรือเด็กที่คลอดก่อนกำหนด ซึ่งต้องได้รับการตรวจโดยจักษุแพทย์ แต่ถ้าสายตาสั้นไม่มาก ก็ไม่มีอันตรายอะไร แต่ถ้าสั้นมากจนเป็นพัน (-10.0 diopters) ก็จะมีความเสี่ยงเรื่องจอประสาทตาเสื่อม วุ้นตาเสื่อม จอประสาทตาลอก หรือต้อหินได้

สายตาสั้นแก้ไขได้
ถึงแม้ว่าเด็กเล็กสายตาสั้นจะพบได้น้อย แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ต้องเป็นกังวลนะครับ เพราะสายตาสั้นในเด็กสามารถแก้ไขได้

ใส่แว่น ถ้าลูกสายตาสั้นไม่มาก อาจไม่จำเป็นต้องใช้แว่น แต่ถ้าเข้าเรียนหนังสือ แล้วมองกระดานไม่ชัดเจน อาจทำให้การเรียนหนังสือตามเพื่อนไม่ทัน ก็มีความจำเป็นต้องใส่แว่น และแว่นที่ใส่ในเด็กควรเป็นแว่นราคาไม่แพง เลนส์ควรเป็นพลาสติก เพื่อเป็นการป้องกันการแตกของเลนส์ที่เป็นแก้ว แล้วบาดดวงตา

พ่อแม่บางท่าน มักสงสัยว่า การใส่แว่นตลอดและใส่แว่นแบบใส่ๆ ถอดๆ จะทำให้สายตาสั้นเพิ่มขึ้น แต่จริง ๆ แล้ว ไม่ว่าจะใส่แว่นตลอดเวลา หรือใส่ ๆ ถอด ๆ หรือไม่ใส่แว่นเลย เมื่อมีสายตาสั้นแล้ว สายตาสั้นจะเพิ่มทุกปี ปีละประมาณ 50-100 (0.5 – 1.0 diopter) ไปจนอายุประมาณ 20 ปีเศษๆ ก็จะหยุดสั้น

ใส่ Contact Lens ควรใช้ในเด็กที่โตแล้วและมีความรับผิดชอบ เพราะบางคนชอบใส่ Contact Lens เป็นแฟชั่น ไม่ดูแลรักษาความสะอาด จะทำให้เกิดภาวะตาอักเสบจากภูมิแพ้ หรืออักเสบติดเชื้อที่ตาได้ การใส่ Contact Lens ควรใส่ด้วยความระมัดระวัง และดูแลทำความสะอาดให้ดี

ผ่าตัดแก้ไขสายตาสั้น เช่น การใส่เลนส์เข้าภายในลูกตา หรือการใช้แสงเลเซอร์ (LASIK) ควรทำเมื่ออายุประมาณ 20 ปี ไปแล้วเพราะช่วงวัยนั้นสายตาสั้นเริ่มคงที่แล้วครับ

แม้ว่าจะมีเด็กเล็กเพียงส่วนน้อยที่สายตาสั้น แต่การรู้จักอาการสายตาสั้นไว้ เพื่อจะได้สังเกตอาการแต่เนิ่น ๆ ก็เป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ควรจะทำความเข้าใจไว้ครับ

...ยังไม่เข้าเกณฑ์ อีกทั้งทดสอบลูกโดยให้บอกตัวหนังสือที่อยู่ระยะไกลๆ เค้ายังบอกได้ น่าจะยังไม้ใช่ แต่ยังไงก็คงต้องระวังเรื่องการใช้คอมฯให้มากขึ้นค่ะ

หนาวแล้วจ้า ระวังลูกรักป่วย

เมื่อลูกป่วย โดยเฉพาะเด็กเล็ก ๆ พ่อแม่มักจะกังวลใจจนแทบจะป่วยไปกับลูก หรือ บางคนมีอาการหนักมากกว่าลูกเสียอีก เพราะไม่ทราบว่าควรจะดูแลลูกอย่างไรดี เมื่อมีอาการป่วยเกิดขึ้น ยิ่งช่วงนี้เข้าหน้าหนาว อากาศเปลี่ยน อย่างน้อยๆ เด็กในสังกัดเราก็คงน้ำมูกย้อยกันบ้างล่ะน่า ซึ่งอาการต่าง ๆ ที่เป็นและพบได้บ่อยมีดังนี้
ไข้ อาการไข้ เป็นสัญญาณของร่างกายที่บ่งบอกว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกาย ใช้ปรอทวัดไข้ วัดอุณหภูมิของร่างกาย ถ้าคุณพ่อคุณแม่วัดไข้ทางปากโดยให้ลูกอมปรอทไว้ใต้ลิ้น หุบปากสนิทนาน 1 นาที อ่านอุณหภูมิได้เกิน 37.8 C ถือว่ามีไข้ ถ้าวัดปรอททางรักแร้โดยหนีบปรอทแน่น 1 นาที อ่านอุณหภูมิเกิน 37.3 C ถือว่ามีไข้ หรือการวัดปรอททางทวารหนักในเด็กเล็ก เกิน 38 C จึงจะถือว่ามีไข้
สาเหตุของไข้ ดังได้กล่าวข้างต้นว่าใช้เป็นสัญญาณของความผิดปกติ ดังนั้นจึงต้องหาสาเหตุที่ทำให้ เกิดไข้ สาเหตุของไข้ที่พบได้บ่อยได้แก่
- จากโรคติดต่อ
- จากการได้รับวัคซีน
- จากการอักเสบ
- ไข้หลังผ่าตัด
- ไข้จากการขาดน้ำ
เมื่ออุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น เด็กจะตัวร้อน อาจมีหนาวสั่น ตัวแดงหน้าแดงหัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็ว ในเด็กโตจะบอกได้ว่า ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและข้อ อาการไข้สูงถ้าปล่อยทิ้งไว้ จะมีโอกาสชักได้ โดยเฉพาะในเด็กอายุ 6 เดือนถึง 5 ปี ควรทำการลดไข้ให้เร็วที่สุด ดังนี้
- ให้ลูกดื่มน้ำมาก ๆ
- อยู่ในที่มีลมถ่ายเทสะดวก หรือในห้องแอร์ที่ไม่เย็นจัด
- เช็ดตัวลดไข้ โดยถอดเสื้อผ้าเด็กออกให้หมด ใช้ผ้าขนหนูผืนเล็ก 2 – 3 ผืน ชุบน้ำธรรมดา สลับกันเช็ดตัวเด็กทั้งตัว โดยเน้นบริเวณซอกคอ รักแร้ ขาหนีบ และหลังจนกว่าไข้จะลดลง การใช้ผ้าโปะไว้เฉพาะบริเวณหน้าผาก ไม่ช่วยทำให้ ไข้ลดลง
- หลังเช็ดตัวแล้ว ควรใช้ผ้าแห้งซับให้แห้ง แล้วใส่เสื้อผ้าบาง เพื่อให้ร่างกายระบายความร้อนได้ดี
- ถ้ามียาลดไข้ Paracetamol ให้รับประทานตามแพทย์สั่ง รับประทานซ้ำได้ทุก 4-6 ชั่วโมง ถ้ายังมีไข้
ถ้าลูกยังมีไข้สูงติดต่อกัน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ควรพบแพทย์

หวัด อาการหวัด น้ำมูกไหล พบได้บ่อยในเด็ก เด็กที่อายุมากกว่า 6 เดือน จะพบได้ประมาณ 1-2 ครั้งต่อเดือน ใน 2-3 ขวบปีแรกที่ลูกเริ่มไปโรงเรียน จะเป็นหวัดได้บ่อย เนื่องจากที่โรงเรียนจะมี เด็กอยู่รวมกันมาก ทำให้ลูกติดหวัดจากเพื่อนได้ และเป็นวนเวียนกันไปเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อเด็ก โตขึ้น อายุเกิน 6 ปี อาการหวัดจะลดลงเหลือเพียง 2-3 ครั้งต่อปีเท่านั้น อาการหวัดจะพบได้บ่อย เมื่อมีอากาศเปลี่ยนแปลง อากาศเย็นหรือฝนตก อาการของหวัด จาม น้ำมูกไหล คัดจมูก ไอ มีไข้ ซึ่งอาการไข้มักมีอยู่ประมาณ 3 วัน ไม่เกิน 1 สัปดาห์ แต่อาการไออาจนานถึง 2-3 สัปดาห์ได้
สาเหตุ เกิดจากเชื้อไวรัส
การดูแลรักษา เชื้อไวรัสหวัดเป็นเชื้อที่ยังไม่มียารักษา ดังนั้นการรักษาหวัด จึงเป็นการรักษาตามอาการ โดยที่ถ้ามีไข้ จะให้ยาลดไข้ เช็ดตัว ถ้ามีน้ำมูกมากให้ยาลดน้ำมูก ดื่มน้ำบ่อย ๆ พักผ่อนมาก ๆ ถ้าไอให้ยาละลายเสมหะ ดื่มน้ำอุ่น จะช่วยให้อาการหวัดดีขึ้น
เวลาลูกมีน้ำมูกไหล ไอจะดูแลอย่างไร
- ในเด็กเล็ก น้อยกว่า 6 เดือน ใช้ลูกยางแดงดูดน้ำมูกในจมูก ดูดเสมหะในคอ ก่อนมื้อนม หรือใช้ผ้านิ่มพันปลายแหลม ซับน้ำมูกในรูจมูก ไม่ควรใช้ยาลดน้ำมูก เพราะจะทำให้เสมหะแห้งเหนียว เด็กไอไม่ออกได้
- ในเด็กอายุมากกว่า 6 เดือน ถ้ามีน้ำมูกมากสามารถให้ยาลดน้ำมูกได้ ให้ยาละลายเสมหะเมื่อไอ
- ถ้าแน่น คัดจมูก ใช้ยาหยอดจมูกได้ แต่ไม่ควรหยอดติดต่อกันนานเกิน 4-5 วัน - ในเด็กโต ให้สั่งน้ำมูกเบา ๆ ถ้าลูกเป็นหลายวันแล้ว ยังมีน้ำมูกมาก เป็นยวงเขียว แสดงว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรีย แทรกซ้อน ควรพามาพบแพทย์เพื่อให้ยาปฏิชีวนะ แต่ถ้าน้ำมูกเริ่มแห้ง และเป็นสีเขียว แสดงว่ากำลัง หายจากหวัด ไม่ต้องให้ยาปฏิชีวนะ
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดได้ ได้แก่
- หูน้ำหนวก เด็กจะมีไข้สูง ปวดหู มีหนองไหลจากหู
- ไซนัสอักเสบ จะมีไข้ ปวดบริเวณหน้าผาก จมูก แก้ม น้ำมูกเขียวจำนวนมาก และมีกลิ่นเหม็น
- หลอดลมอักเสบ จะไอมาก หายใจแรง
- ปอดบวม จะมีไข้สูง ไอมาก หอบหายใจเร็วและแรง
เมื่อมีอาการดังกล่าว ควรรีบพบแพทย์

อาเจียน
เมื่อลูกอาเจียน คุณพ่อคุณแม่ควรสังเกตุลักษณะอาเจียนที่ออกมา ว่าเป็นเศษอาหาร เสมหะ สีอะไร อาเจียนแบบพุ่งหรือไม่พุ่ง เนื่องจากลักษณะอาเจียนต่าง ๆ จะช่วยในการวินิจฉัยโรคได้
อาเจียนเกิดจากอะไร สาเหตุของอาเจียนมีได้ ดังนี้
- จากสมอง มักมีอาเจียนพุ่ง
- จากทางเดินอาหาร เช่น การอุดตันของกระเพาะ ลำไส้ หรือมีการอักเสบ ของทางเดินอาหาร
- สาเหตุทางกายอื่น ๆ เช่น ไข้สูง ไซนัสอักเสบ คออักเสบ ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
- สาเหตุอื่น เช่น รับประทานอาหารมากเกินไป
เมื่ออาเจียนออกมาแล้วมักจะสะบายขึ้น เมื่อลูกอาเจียนจึงควรพบแพทย์ เพื่อหาสาเหตุและให้การรักษาต่อไป
ถ้าลูกอาเจียนจะดูแลอย่างไร
- ควรให้รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย โดยให้ทีละน้อย บ่อย ๆ
- ให้น้ำเกลือแร่ ORS เพื่อทดแทนเกลือแร่ที่เสียไปกับอาเจียน โดยให้จิบทีละน้อยและบ่อย ๆ
- ให้ยาแก้อาเจียนตามแพทย์สั่ง ควรให้รับประทาน 1/2 ชั่วโมงก่อนมื้ออาหาร
เมื่อมีอาเจียนมาก รับประทานอาหารหรือน้ำไม่ได้เลย ซึมลง มีอาการขาดน้ำ กระหม่อมบุ๋ม ปากแห้งมาก ตาโหล ผิวหนังเหี่ยว แพทย์จะพิจารณาให้น้ำเกลือทางเส้นเลือด และรักษาสาเหตุต่อไป

ท้องเสีย
อาการท้องเสีย คือ การถ่ายอุจจาระเป็นน้ำ มากกว่า 3 ครั้งต่อวัน หรือถ่ายเป็นมูกเลือด เกิดจากรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรค ได้แก่ เชื้อไวรัส แบคทีเรีย พยาธิ นอกจากนี้ยังเกิดจากโรคไม่ติดเชื้อได้ เช่น การแพ้นมวัว อาการท้องเสียพบได้บ่อยในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี หากเด็กขาดน้ำ และเกลือแร่ ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจจะช็อคและเสียชีวิตได้ อาการขาดน้ำมีตั้งแต่ รุนแรงน้อย จนถึง รุนแรงมาก ได้แก่ ริมฝีปากแห้ง กระหายน้ำ กระหม่อมบุ๋ม (ในเด็กอายุต่ำกว่าขวบครึ่งที่กระหม่อมยังไม่เปิด) ตาโหล ผิวหนังเหี่ยว ตัวเย็น หมดสติ
คุณพ่อคุณแม่ควรทำอย่างไรเมื่อลูกท้องเสีย
- ควรทดแทนน้ำและเกลือแร่ที่เสียไปทางอุจจาระ โดยให้น้ำเกลือผง ORS ดื่มแทนน้ำ ตามปริมาณอุจจาระที่เสียไป เมื่อผสมแล้วควรใช้ภายใน 1 วัน
- ไม่จำเป็นต้องงดอาหาร เพราะจะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารและพลังงาน ควรให้รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย งดผักผลไม้และอาหารมัน ๆ สามารถให้นมแม่ หรือนมกระป๋องได้ ควรให้ทีละน้อยแต่ให้บ่อย ๆ
- ไม่ควรให้ยาแห้ท้องเสีย เพราะจะทำให้ลำไส้หยุดทำงาน ลูกจะท้องอืดและเชื้อโรคยังคงค้างอยู่ในลำไส้ ทำให้ไม่หายจากโรค
- ถ้ายังมีอาการขาดน้ำมาก ลูกไม่สามารถรับประทานอาหารและน้ำได้ ควรรีบ มาพบแพทย์
จะป้องกันไม่ให้ลูกท้องเสียได้อย่างไร
- รับประทานอาหารสุก สะอาด ไม่มีแมลงวันตอม
- ฝึกสุขนิสัยที่ดี ล้างมือให้สะอาดหลังเข้าห้องน้ำและก่อนรับประทานอาหาร
- ทำความสะอาดภาชนะใส่อาหาร ขวดนม
- เด็กเล็กที่ชอบหยิบของใส่ปากควรทำความสะอาดของเล่นอยู่เสมอ เพียงเท่านี้ คุณก็สามารถดูแลลูกให้ปราศจากท้องเสียได้

ชัก
อาการชักในเด็ก เป็นอาการที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ดังนั้นคุณพ่อ คุณแม่ควรจะเตรียมตัวไว้ เผื่อมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับลูก จะได้มีสติและให้การดูแลก่อนที่จะนำส่งแพทย์ เนื่องจากเด็กมักชักไม่นาน เมื่อมาถึงมือแพทย์ส่วนใหญ่จะหยุดชักแล้ว
อาการชัก เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของคลื่นไฟฟ้าในสมอง ทำให้มีอาการดังนี้ ร้องสั้น ๆ กล้ามเนื้อแข็ง เกร็งกระตุก หยุดหายใจชั่วคราว ตาเหลือก ปากเขียว น้ำลายฟูมปาก ปัสสาวะอุจจาระราด หมดสติ เมื่อหยุดชักอาจมีสับสน ง่วงนอนได้
ชักเกิดจากอะไร สาเหตุของชักในเด็ก มีได้หลายสาเหตุ ที่พบบ่อยมีดังนี้
- ไข้สูง
- ติดเชื้อในสมอง
- โรคลมชัก
- สมองขาดออกซิเจน
- บาดเจ็บที่ศีรษะ
อาการชักจากไข้สูง เป็นสาเหตุที่พบบ่อยในเด็กอายุ 6 เดือนถึง 5 ปี โดยเฉพาะในเด็ก ที่มีประวัติชักในครอบครัว มีพี่น้อยเคยชักจากไข้สูง จะมีโอกาสเสี่ยงมากขึ้น อาการชักไม่เกิน 15 นาที เป็นการชักทั้งตัว และไม่มีความผิดปกติทางระบบประสาท
เมื่อลูกชักควรให้การดูแล ดังนี้
- เอาตัวออกจากสิ่งที่เป็นอันตราย มานอนในที่ปลอดภัย โดยให้นอนตะแคงหน้า ไปด้านใดด้านหนึ่ง
- ปลดเสื้อผ้าให้หลวม ไม่ควรกดท้อง จะทำให้เกิดอันตรายต่ออวัยวะภายในได้ - ไม่ควรใช้สิ่งของหรือนิ้วมืองัดปาก เนื่องจากเวลาเด็กชักไม่ค่อยพบว่ากัดลิ้นตัวเอง แต่จะเป็นอันตรายมากกว่าถ้าใช้สิ่งของงัดปาก
- ดุแลเรื่องการหายใจ ถ้าหยุดหายใจให้เป่าปาก
- ห้ามกรอกยาหรือเครื่องดื่มใด ๆ ระหว่างชัก เพราะจะทำให้สำลักเข้าหลอดลมได้
- สังเกตอาการชัก และอยู่กับลูกจนหยุดชัก
- ถ้ามีไข้สูง ให้เช็ดตัวลดไข้
- ในรายที่เคยชักและมียาเหน็บแก้ชักให้เหน็บยาทางทวารหนักตามแพทย์สั่ง
- รีบนำส่งโรงพยาบาล เพื่อการตรวจวินิจฉัยและให้การรักษาต่อไป
" ลูก " เป็นแก้วตาดวงใจของพ่อแม่ อาการเจ็บป่วยของลูก บางครั้งการให้การดูแล เบื้องต้นอย่างถูกวิธี จะสามารถช่วยให้ลูกเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์ แข็งแรง สุขภาพดี เป็นผู้ใหญ่ที่มี ประสิทธิภาพ และเป็นกำลังสำคัญของชาติสืบไป
เรียบเรียงจาก "อาการป่วยที่พบบ่อยในเด็ก" โดย แพทย์หญิง วรรณสิริ วรรณสถิตย์ "สาระน่ารู้เกี่ยวกับสุขภาพ

คิดได้ เมื่อน้ำท่วม

ข่าวน้ำท่วมครั้งใหญ่ของประเทศไทยเรา ทำให้การเขียนบล็อกของเราชะงักไปชั่วขณะ แม้ที่อาศัยจะไม่ท่วม แต่ความเป็นห่วงกังวลทำให้ติดตามข่าวสารตั้งแต่เห็นการท่วมที่ จ.อ่างทอง เรารู้สึกว่ามันค่อนข้างหนักหนา เชื่อว่าหลายๆคนก็น่าจะรู้สึก แต่ทำไมรัฐบาลผู้มีหน้าที่รับผิดชอบประเทศจึงไม่รู้สึกก็ไม่รู้...เอาล่ะ งดเรื่องการเมืองในบล็อกเบาๆนี้ดีกว่า
สิ่งที่อยากจะพูดถึงในครั้งนี้อาจเป็นมุมมองที่แตกต่างจากคนอื่น ในฐานะเป็นคนรุ่นใหม่ที่ตัดสินใจเข้าสู่แวดวงเกษตรกรรม ท่วมกลางความไม่มั่นใจของตัวเองและคนรอบข้าง..มากมายหลายเหตุผล หากยกมา ณ ที่นี้คงจะยืดยาว เอาเป็นว่า ในช่วงแรกของการมาประกอบอาชีพเกษตรกรของนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรไฟฟ้า ค่อนข้างทำใจลำบากสำหรับเราที่ไม่มีประสบการณ์เรื่องนี้เลย สามีก็เคยมีประสบการณ์บ้างแต่ไม่ได้ลงมือทำเต็มตัว อาศัยใจอย่างเดียวเลยก็ว่าได้ บ้าบิ่นพอดู..
ช่วงเวลาก่อนน้ำท่วม มีความรู้สึกน้อยอกน้อยใจบ้างที่เห็นเพื่อนมีเงินเดือน มีวันหยุดได้เที่ยวเมืองนอก ถ่ายรูปหน้าขาวๆอัพโหลดขึ้นเฟสบุค (คนเราชอบน้อยใจในสิ่งที่ตัวเองไม่มี ไม่ค่อยพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่)
ทั้งที่เราเองก็มีเงินใช้จ่ายตามปกติ จะกินMK KFC Pizza ก็ได้กินปกติ มีโน้ตบุคให้เล่นเน็ต(ถึงจะไม่เร็วปี๊ดก็เถอะ) แถมยังได้อยู่ในที่ๆมีอากาศดี ไร้มลพิษ ไม่ต้องเร่งรีบ ไม่มีเจ้านาย ...ก็พยายามปลอบในตัวเองแต่ก็ยังมีแว๊บๆให้รู้สึกอยู่
ช่วงเวลาน้ำท่วม ผู้คนลำบาก ตกงาน อาหารขาดแคลน ฯลฯ ทำให้จิตหดหู่ไม่น้อย และได้สิ่งที่สอนตัวเราเองคือสิ่งที่เราเลือกนั้นช่างดีเหลือเกินแล้ว ขอโทษหากคำกล่าวเหล่านี้จะกระทบกระเทือนใจใคร คิดดูว่า ในขณะที่คนมีเงินเดือน แต่พอน้ำท่วมกลับหาอะไรจะให้ซื้อยังลำบาก แต่เราสามารถไปตัดผักในไร่มากินได้ไม่ต้องใช้เงิน ไม่ได้จะเยาะเย้ยใคร จุดประสงค์คือเพียงแค่หลังน้ำลด ลองปลูกผักใส่กระถางไว้ที่ระเบียงหลังห้องเช่า คอนโด ข้างกำแพงบ้าน เผื่อน้ำท่วมอีก อย่างน้อยๆก็มีผักไว้กิน ไม่ต้องกินแต่มาม่า ปลากระป๋องไงคะ ผักปลูกง่ายค่ะ confirm!
มันอาจไม่เร็วเหมือนควักเงินซื้อมา แต่ช่วงเวลาที่เราไปรดน้ำทุกวัน ดีใจที่เห็นยอดผักโผล่มาจากดิน ปลาบปลื้มมื่อเห็นใบเห็นดอก ตื่นเต้นเมื่อเห็นผล สุขใจเมื่อเก็บมาทำกับข้าวกิน ภูมิใจที่ได้กินผักที่ตัวเองปลูก มันเยอะอ่ะ..
เป็นกำลังใจให้คนไทยทุกคน เผ่าพันธุ์เชื้อชาติไทย ยิ้มสู้ได้ทุกสถานการณ์ เราจะผ่าวันเวลาที่เลวร้ายไปด้วยกัน

วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2554

น้ำคร่ำ น้ำเดิน

นอกจากการเตรียมเครื่องใช้ต่างๆให้ลูก ให้มีเรียบร้อยแล้ว คุณพ่อที่จะเข้าไปช่วยแม่คลอดก็ต้องเตรียมตัว(กล้องบันทึกภาพ)เตรียมใจด้วยนะคะ ผู้ชายหลายคน เข่าอ่อนในห้องคลอดได้เหมือนกัน เมื่อกาย(พ่อแม่)พร้อม ใจ(พ่อแม่)พร้อม ก็รอลูกรักพร้อมที่จะออกมาลืมตาดูโลก พ่อแม่บางคนอาจจะเลือกวันสะดวก วันดี ฯลฯ ก็แล้วทัศนคคติของและคนไปค่ะ แของเรากับสามีนิยมฤกษ์สะดวก ลูดสะดวกเวลาไหนได้ทั้งนั้น
จากการคำนวณของคุณหมอลูกชายจองเราน่าจะมีกำหนดคลอดวันที่ 17 พ.ย. ซึ่งวันนั้นหมอนัดเราพอดี ไม่รู้เพราะกังวล เครียดด้วยหรือเปล่า ทำให้ตอนรอหมอหน้าห้องเราเกิดอาการเจ็บแปล๊บที่ท้อง จึงบอกสามีและพยาบาลหน้าห้อง หมอให้ขึ้นเตียงเช็คว่าช่องคลอดเปิดไหม ก็ยังไม่เปิด เลยตัดสินใจว่าจะกลับบ้านหรือนอนดูอาการ เนื่องจากบ้านไกล ร.พ.มากเลยตัดสินนอน แต่ปฏิเสธฉีดยาเร่งคลอด จนสว่าง จนเตียงข้างๆเขาคลอดหมดก็ยังไม่มีวี่แวว สามีเลยได้จ่ายตังค์ค่า(เสียเวลา)หมอ(เสียเวลา)พยาบาลไปสี่พัน สบายใจโล่งกระเป๋า...
จากนั้นอีกสามวันต่อมา สามีไปธุระกับแม่เค้า มีเราอยู่บ้านกับแม่เรา(แม่มาอยู่เป็นเพื่อนตอนใกล้คลอด) มีป้าที่มาทำงานที่บ้านด้วย กำลังกินข้าวกลางวันกันอยู่ เราก็รู้สึกเหมือนเวลาประจำเดือนไหล เหมือนมีของเหลวไหลออกมา แต่ก็ยังไม่บอกใคร เพราะยังไม่แน่ใจ สักพัก มีอีก เลยบอกแม่ จะโทร.บอกสามีละแต่ป้าคนนั้นบอกว่า ยังหรอก สมัยก่อนเค้าน้ำเดินกัน อีกเป็นอาทิตย์ถึงคลอด อีกทั้งเราไม่มีอาการเจ็บท้อง(เหมือนในละคร)ด้วย แต่ด้วยความกังวลใจ เลยโทร.บอกสามี ซึ่งกว่าสามีจะกลับก็เกือบสี่โมงเย็น หลังจากนั่งปรึกษากันว่าจะเอายังไง(กลัวถูกเด็กในท้องหลอกอีก) สามีโทร.ปรึกษาพี่สาวของเขา พี่แนะนำให้ไปร.พ.เพื่อความสบายใจ และเราเองก็คิดว่ามันไม่ปกติ จึงตัดสินใจขับรถไปท่ามกลางสายฝน ไปถึงร.พ.เกือบสองทุ่ม แม่เราพาไปที่ห้องฉุกเฉิน ยังไม่ทันซักประวัติ คราวนี้น้ำคร่ำไหลพรวดเปียกพื้นเป็นทาง เราจึงถูกส่งตัวไปห้องรอคลอดทันที พยาบาลเช็คแล้วปากมดลูกเปิดยังไม่มาก จึงฉีดยาเร่งคลอดและคาดว่าน่าจะคลอดช่วงใกล้เช้า เราก็นอนรอมีแม่อยู่ด้วย การเจ็บคลอดมันจะมาเป็นระรอก เจ็บมาแทนได้(ไม่ต้องถึงขนาดส่งเสียงโหยหวนเหมือนในละคร)สักประมาณสี่ทุ่มกว่า พยาบาลซึ่งมาดูเป็นระยะก็บอกเราว่า “ถ้าน้องรู้สึกเหมือนขี้จะออกบอกพี่นะ” ..ชัดเจนมากเลยพี่... พอเรามีอาการดังว่าเลยบอกแม่ให้เรียกพยาบาล พอมาวัดช่องคลอด เค้าก็ตกใจเพราะช่องคลอดเปิดเร็วกว่าที่เค้าคาด เรียกหมอใหญ่เลย เมื่อเข้าห้องคลอดก็เบ่งกันนาน เพราะลูกหัวค่อนข้างใหญ่ มีเรื่องขำ(แหมอไม่ขำ)คือพยาบาลลืมสวนปัสสาวะเรา ตอนเบ่งเลยพุ่งเฉียดหน้าหมอ(สามีบอก) ดีที่หมอไว หลบทัน หมอจะถอดใจแล้วให้ผ่า ด้วยความกลัวโดนผ่า เลยฮึดจนเบ่งออกเองได้ มีการใช้เครื่องดูดช่วย หัวลูกน้อยเลยปูดเล็กน้อย
ถึงตอนนี้ขอเบรกมาเล่าเรื่องน้ำเดินกันเล็กน้อย เราว่าสำคัญนะสำหรับคนท้องแก่ แม้อาการของการจะคลอดมีหลายอย่างตามที่หาอ่านได้ในหนังสือทั่วไป แต่เราจะละเลยอาการน้ำเดินไม่ได้เลย เราได้พูดคุยกับน้องที่ทำงานหลังจากคลอดแล้วสักพัก น้องเล่าว่าเพื่อนท้องแก่ยังไม่ถึงกำหนดคลอด สามีเข้างานกะกลางคืน มีอาการน้ำเดินแต่เนื่องจากอยู่คนเดียว จึงรอสามีออกกะจึงค่อยไปร.พ. ปรากฏว่าลูกเสียชีวิต น่าเศร้ามาก อีกกรณีรู้จากพี่คนหนึ่งแต่รายนี้โชคดีที่ไปร.พ.ทั้งที่อายุครรภ์แค่36สัปดาห์ ลูกคลอดมาปลอดภัยดี เพราะฉะนั้นอย่าละเลยเมื่อน้ำเดินนะจ๊ะ

วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2554

การเตรียมตัวเมื่อมีนัดกับหมอ

เนื่องจากเป็นนักพบหมอมืออาชีพเนื่องจากมีโรคประจำตัว การไปพบหมอตามนัดจึงไม่ได้ทำให้เกิดความประหม่าแต่อย่างใด สิ่งที่อยากแนะนำอย่างยิ่งทั้งผู้ที่ป่วยและแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ คือ
1. จด(จำ)อาการต่างๆของตัวเองที่ควรจะเล่าให้หมอฟัง ถ้าเป็นอาการผิดปกติควรกาดอกจันไว้เลยว่าอย่าลืมบอกหมอเด็ดขาด เพราะหมอต้องถามอยู่แล้วสักประโยคว่า “เป็นอะไรมา”/ “มีอาการอย่างไรบ้าง”
2. จด(จำ)คำถามเกี่ยวกับการดูแลตัวเองที่อยากรู้ไว้ (บางทีไม่ต้องถามหมอก็จะแนะนำเราเองเมื่อวินิจฉัยอาการแล้ว อันนั้นค่อยขีดทิ้งก็ได้ ไม่เสียหาย)
3. เรามีสิทธิ์ที่จะทราบถึงกระบวนการในการรักษาและมีส่วนร่วมในการตัดสินใจรักษาโรคของเรา เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวที่จะถาม
แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ จากที่เคยเป็นด้วยตัวเอง คือจะถามเกินสิ่งที่ตัวเองเป็น ถามถึงสิ่งที่ตัวเองรับรู้มาแล้วไม่ทราบจริงเท็จเกิดความกังวล ....ซึ่งก็รู้สึกว่าเกินความจำเป็น แต่อยากรู้อ่ะ และด้วยความคิดที่ว่า เราอุตส่าห์เสียตังค์มาร.พ.เอกชน หมอต้องให้เวลาเรามากหน่อยสิ ไม่ใช่นั่งรอครึ่งชั่วโมง ตรวจ 5 นาที จ่ายค่ายา 300 ... (ร.พ.รัฐไม่ต้องพูดถึงนะคะ นานกว่านี้ ไม่ได้อคติแต่มันคือเรื่องจริงที่รัฐต้องยอมรับและนำไปปรับปรุง) ซึ่งทำให้สังเกตได้ว่าหมอออกจะรำคาญนิดส์ๆนะ จนมาเจอบทความในเวปไซต์ของ อ.หมอสัน์ ใจยอดศิลป์ ที่เป็นพิธีกรร่วมรายการ "The Symptom เกมหมอ ยอดนักสืบ" ทุกวันอาทิตย์ ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี 21:30 (โฆษณาให้เสียเลย เห็นเค้าว่าใกล้เทปสุดท้ายแล้วนะคะ) ท่านตอบคำถามเกี่ยวกับโรคต่างๆให้เข้าใจได้ง่าย ด้วยภาษาบ้านๆ มีเกือบทุกโรคที่เราอยากรู้ โดยเฉพาะเรื่องโรคประจำตัวที่เราเป็น ตอนนี้ปลอดโปร่งไร้คำถามเกี่ยวกับโรคนี้แล้ว นอกจากนี้ก็ได้รับรู้ความในใจของหมอว่า บางทีผู้ป่วยที่ต้องการการเอาใจใส่มากจากหมอ ถามนั่นโน่นนี่มากเกินไป(เหมือนที่เราเคยเป็น) หมอเขียนแบบขำๆว่า บางทีที่หมอรีบๆตรวจ เพราะเห็นใจคนไข้ที่นั่งรอข้างนอกห้องอีกโขยง บางครั้งหมอก็หิว(ใกล้เที่ยงแล้วยังไม่มีอะไรถึงท้องเลย ..ว่างั้น น่าสงสารเหมือนกันนะหมอเนี่ย) เอาเป็นว่าเราเสนอแนะทางออกให้กับคนช่างสงสัย(ถ้าเด็กก็เรียกเจ้าหนูจำไม ถ้าพวกแก่ๆแล้วไม่รู้จะเรียกอะไร..) ว่า เมื่อมีคำถามที่อยากรู้ ถ้ามีอินเตอร์เน็ตอยู่ในมือ ใช้ให้เป็นประโยชน์ก่อน อย่างเวปของอ.ก็แนะนำเพราะท่านตอบไว้หลายโรค น่าสนใจทีเดียว (http://www.health.co.th หรือรือเขียนไปถามคุณหมอที่ chaiyodsilp@gmail.com )
เมื่อถึงเวลาพบหมอตัวเป็นๆก็ค่อยถามสิ่งที่ยังไม่กระจ่างอีกที ไม่เสียเวลาหมอ เราก็ไม่เสียความรู้สึก เข้าอกเข้าใจกันทั้งสองฝ่าย happy ending ค่า

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

ชวนชอปให้ลูก

คราวนี้มาชอปเผื่อคุณลูกและของใช้อื่นๆกันค่ะ ต้องเรียบเรียงก่อนถึงของใช้ที่จำเป็น บางคนอาจจะถือ ไม่ซื้อของเด็กล่วงหน้า (แต่เราไม่ถืออ่ะค่ะ) ก็ทำรายการไว้ ค่อยให้คนที่บ้านไปซื้อให้ก็ได้ ถ้ามั่นใจว่าเขาจะซื้อของได้ถูกใจเรา(แต่เราไม่มั่นใจอ่ะค่ะ) วิธีของเรา สำหรับของที่สั่งทางอินเตอร์เน็ตได้ก็สั่งค่ะ มันเป็นการชอปที่ไม่ต้องเดินให้ขาบวมๆของเราเมื่อย แต่ถ้ามีของถูกใจในห้างแต่ยังไม่ซื้อก็จูงมือสามีไปดูเลยว่าชั้นจะเอาชิ้นนี้นะเธอ (อย่าได้ซื้อผิดเชียว)
พวกหนังสือคู่มือแม่มือใหม่ชอบแนะนำเวอร์ (ในความคิดเรา) เราไม่จำเป็นต้องทำตามหนังสือแป๊ะๆ ยืดหยุ่นให้เราสบายใจ สบายกระเป๋าดีกว่า เพราะเชื่อว่าคนส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลาง การจะซื้ออะไรแพงๆก็ดูจะไม่ค่อยเข้าทีกับรายรับ แต่ก็เข้าใจว่ามือใหม่ย่อมตื่นเต้น ยิ่งพวกที่ออกมานั่งอยู่กับบ้านอย่างเรามีเวลาว่างมากก็ยิ่งกังวลมาก เพื่อเป็นการหาอะไรทำแก้เซ็งด้ว เราก็ลองทำรายการสิ่งของที่หนังสือแนะนำมา เอาจำนวนที่เราว่าเราน่าจะใช้แค่ไหน แล้วค่อยตัดรายการที่ไม่จำเป็น(ฟุ่มเฟือย)ออก จำเป็นน้อย(ซื้อที่หลังก็ได้) เหลือของที่จำเป๊นจำเป็นมา
เราแบ่งประเภทของเป็น4อย่าง คือ 1.ของใช้ลูกที่ใช้ได้น๊านนาน ได้แก่พวก กะละมังอาบน้ำ ขวดนม ที่ล้างขวดนม ขวดนม หวี กรรไกรตัดเล็บ ของพวกนี้ซื้อดีๆหน่อยก็ได้คะ ถ้ามีอัฐพอ 2.ของใช้ตามช่วงอายุ เช่นพวกผ้าอ้อม เสื้อ กางเกง ถุงมือ ถุงเท้า หมวก แป๊บๆลูกโตก็ซื้อมากไปใช้ไม่ทันเสร็จคนอื่นอีก เพราะฉะนั้นซื้อเท่าที่ใช้จริงดีกว่า ถ้าแม่ไม่ได้เป็นดาราต้องออกงานบ่อยก็เอาธรรมดาๆก็ได้เนอะ 3.ของที่ใช้แล้วหมดไป จำพวก สบู่ แชมพู แป้ง นม อันนี้แหละที่ต้องประหยัดจากส่วนอื่นมาซื้อ 4.ของใช้แม่ พวกที่ปั๊มน้ำนม ถุงเก็บน้ำนม ชุดชั้นในให้นมลูก ค่อยให้คนที่บ้านซื้อให้ก็ได้ค่ะอย่างที่ปั๊มนม บางคนอาจมีน้ำนมเยอะจำเป็นต้องใช้ บางคนไม่มีน้ำนมซื้อมาไมได้ใช้อีก ซึ่งจะรู้ได้เมื่อเราคลอดลูกไปแล้วเท่านั้น ซื้อมาเตรียมไว้ถ้าไม่ได้ใช้ก็เสียดายตังค์ จากนั้นเราก็เข้าไปดูราคาของแต่ละอย่างเลือกให้สมเหตุสมผล และสมฐานะ ของบางอย่างใช้ไม่นานถ้าไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองหรือไม่ได้มีฐานะมากมายก็ซื้อที่พอใช้ได้ ของบางอย่างแพงยี่ห้อ คุณภาพไม่ได้วิเศษมากไปกว่าของราคาถูกเลย ประหยัดไว้ซื้ออย่างอื่นที่จำเป็นดีกว่าค่ะ
อย่างเราหาซื้อกรรไกรตัดเล็บให้ลูก ดูในเน็ต แพงมาก สี่-ห้าร้อย(ของยี่ห้ออ่ะค่ะ)ซื้อไม่ลง มาเจอในโลตัสราคาไม่ถึงร้อยเห็นก็ตัดเล็บลูกได้เหมือนกัน (แต่ใครมีปัญญาซื้อก็ไม่ว่ากันเนอะ ตามอัธยาศัย)
..แต่ประหยัดเพื่อลูกดีกว่านะ หนทางข้างหน้ายังมีเรื่องให้ต้องใช้เงินอีกเยอะ (ยังไม่ต้องรีบใช้หรอกจ้า..)

วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

แฟชั่นคุณแม่

เป็นความตั้งใจตั้งแต่ยังไม่ได้แต่งงาน ที่คิดเอาไว้ว่าจะไม่ใส่ชุคลุมแบบที่เค้าขายกันเกลื่อนตลาดนัดอย่างแน่นอน เพราะเคยไปเดินเลือกซื้อกับพี่ที่ทำงาน ชุดนึงสี่ร้อยกว่าบาท!! ลายยังกะชุดนอน แถมผ้าก็บ๊างบาง) เวลาจะใส่ถ้าเป็นชุดกางเกงต้องรอคู่มันอีก คนที่ต้องท้องโตอยู่ถึงเก้าเดือน จะต้องมีกี่ชุดกันล่ะ พอเลิกท้องจะเอาชุดพวกนี้ไปไว้ไหน...ไม่ๆๆๆๆ คิดสระตะแล้ว เราว่าไม่คุ้มอ่ะ มันต้องมีสิ ชุดที่เหมือนคนปกติทั่วไปใส่กัน เพียงแค่เราปรับให้มันเข้ากับคนท้อง มันต้องมีสิ ชุดคลุมท้องสำหรับคุณแม่ที่ยังอยากสวย ..ไม่งั้นคนท้องคงต้องห่อเหี่ยวกับชุดคลุมท้องภาคบังคับอย่างนั้นหรือ เมื่อเวลานั้นมาถึง เราลุยหาในเน็ต คำที่serchหาคือ “กางเกงยีนส์คนท้อง” ปัดโธ่! มันจะไม่มีได้ยังไง 555 ขึ้นมาเพียบ ทุกแบบทุกสไตล์ กางเกงสำหรับคุณแม่ที่ยังทำงานก็มี สวยๆทั้งนั้น เราเลือกมาตัวนึง สี่ร้อยกว่าบาท เป็นกางยีนส์ขายาว ความพิเศษของกางเกงยีนส์คนท้องคือเอวจะเป็นผ้ายืด และคิดแล้วราคายีนส์ทั่วไปก็ประมาณนี้อยู่แล้ว ใส่กับเสื้อได้หลากหลาย ยังไงก็คุ้มกว่า เอาไว้ใส่ตอนไปหาหมอ เราเองก็ใส่จนใกล้คลอดเลยที่เดียว ทำเอาคนเฒ่าคนแก่มองกันตาเหลือกเลยทีเดียว
นอกจากนี้ก็มี”กางเกงlegging”ที่เป็นผ้ายืด สีดำ เอาไว้ใส่กับเดรส สายเดี่ยวที่ชายบานๆหน่อย และก็กระโปรงเอี๊ยม ที่ใส่เสื้อแบบต่างๆไว้ข้างในได้ไม่มีเบื่อ สำหรับคนที่ไม่ได้ทำงานในช่วงที่ท้องชุดคลุมท้องไม่ค่อยจำเป็นนะ ในความคิดของเรา เพราะเราไม่จำเป็นต้องสวย เอาสบายก็พอ เราเลยชอบใส่เสื้อยืดตัวใหญ่ๆกับกางเกงเลหลากสี ในตู้เสื้อผ้าเราจึงไม่มีชุดคลุมท้องมาห้อยกวนสายตาเลย...

วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กินตามความเชื่อ ..เพื่อลูก

ที่จริงเรื่องนี้น่าจะเล่าก่อนเรื่องอื่น เป็นความเชื่อส่วนตัวที่ใครจะทำตามก็ไม่เสียหายนะคะ ในคนที่อยากมีลูกมากๆ อยากแนะนำว่าให้ลองทานเป็ดบำรุงกำลัง อันนี้เราเอามาจากละครเดจังกึม คือมีตัวละครชายแก่กะเมียที่เป็นพวกเดจังกึมที่ตลกๆน่ะ เมียเค้าอยากมีลูกเลยบำรุงผัวด้วยเป็ด เราก็มาคิดว่ามันอาจจะเป็นความเชื่อของคนเกาหลี เลยคุยกันเล่นๆกับเพื่อนร่วมงานสองคนอยู่กันนานแล้วยังไม่มีลูก รวมเราที่กำลังจะแต่งงานอีกคน พอดีแถวที่พักมีร้านข้าวหน้าเป็ด เลยชวนกันไปกินขำๆ ปรากฏว่าท้องไล่ๆกันเลย เริ่มจากเรา(ที่หมอรักษาไธรอยด์บอกจะมีลูกยาก) และก็เพื่อนอีกสองคนตามมา ซึ่งตอนที่เราท้องก็ได้ไปอยู่ต่างจังหวัดกับสามีแล้ว ได้โทร.ไปคุยกับเพื่อนพูดติดตลกว่าเพราะเป็ดบำรุงกำลังรึเปล่า ...แต่ตอนนี้สถิติที่เราเก็บคือ สามคน ถ้าใครที่มีลูกยากจะลองดูก็ดีนะคะ ได้ผลยังไงส่งข่าวด้วยจะได้เป็นสถิติเพิ่ม
ต่อมาพอมีลูกน้อยแล้ว นอกจากต้องไปฝากครรภ์ ฉีดวัคซีน กินยาบำรุง ดื่มนมแล้ว อาหารบำรุงต่างๆก็สรรหากันค่ะเราเป็นคนที่ถ้าใครมาบอกใครทำอะไรแล้วมีเหตุผลพอก็ทำตามค่ะ ..ไม่ดื้อ แต่ประเภท “ตรูบอกให้เชื่อ มรึงต้องเชื่อ” มาพูดกับเราไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกค่ะ แหล่งข้อมูลในเรื่องการกิน ไม่พ้นหนังสือและอินเตอร์เน็ตค่ะ โดยจะอ่านแล้วเอามาพิจารณาก่อนจะเชื่อหรือทำตาม มีเรื่องที่ย้อนอดีตเล็กน้อย คือตอนทำงานบริษัท มีพี่ที่สนิทกันท้อง เราก็พลอยเห่อไปด้วย(ตามประสามคนรักเด็ก...นางงามมาก) ไปช่วยแกเลือกชุดคลุมท้อง แนะนำให้แกกินแปะก๊วย เพราะเรารู้มาว่าบำรุงสมองทำให้ฉลาด แกก็ซื้อมาต้มกิน หลังจากออกจากงานโทร.คุยกันแกก็เล่าให้ฟังว่าลูกแกมันฉลาดเกิ๊น..จนพ่อมันเรียกไอ้เด็กแปะก๊วย ส่วนท้องของเราหากินยาก อาศัยกินนมที่มีส่วนผสมของแปะก๊วยเอา (เพราะกินนมรสเดิมๆก็เบื่อ นมเปรี้ยวบ้าง รสอื่นๆบ้าง มีให้แม่ๆเลือกมากมาย)
ส่วนตัวเราแล้วเราจะศึกษาว่าในคนท้องเราต้องการสารอาหารอะไรมากกว่าคนปกติ แล้วสารอาหารนั้นมีอยู่ในอาหารประเภทไหน อย่างที่ยกไปแล้วคือเรื่องแคลเซียมที่มีในนม แต่คนที่กินนมไม่ได้ก็สามารถที่จะได้รับแคลเซียมจากแหล่งอาหารอื่นได้ เช่น กะปิ ปลาร้า(กินกันเป็นไหๆเลยที่เดียว) ซึ่งมันก็มีในการปรุงอาหารในชีวิตประจำวันของเราอยู่แล้ว ก็หาสิ่งทดแทนกันไป ผู้ใหญ่บางคนเห็นเราดื่มนมมากๆก็อาจจะขัดตา แย้งว่าสมัยก่อนเค้าไม่มีนมให้กินเห็นลูกยังออกมาเป็นโขยง ..จริง เพราะสมัยก่อนไม่มีนมให้กินนี่ ตอนนี้มีให้กินเราก็กิน(สิ) เพื่อลูกและเพื่อตัวเราเอง เป็นการป้องกัน เรื่องโรคกระดูกพรุนที่อาจเกิดกับแม่ได้
อันนี้เอาเฉพาะความเชื่อของเรานะคะ ไม่ได้ลอกใครมา เชื่อว่าหากใครอยากรู้เรื่องสารอาหารจริงๆก็หาซื้อหนังสือหรือหาอ่านได้มากมายในอินเตอร์เน็ตค่า... และยังมีอื่นๆอีกตามแต่ปู่ย่าตายายจะแนะนำ ถ้าไม่ลำบากใจที่จะเชื่อและมีเหตุผลเพียงพอก็ทำไปเถอะค่ะ เพื่อความสงบสุขของบ้าน 55

วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ดื่ม(นม)กันเถอะ

เป็นโชคดีของเราที่ชอบดื่มนม ประกอบกับขาดแคลเซียมเนื่องจากโรคประจำตัว ทำให้คุณหมอที่รักษาไธรอยด์บังคับให้ดื่มอย่างน้อยวันละ 2กล่องอยู่แล้ว พอท้องเรื่องดื่มนมเลยเป็นเรื่องจิ๋วๆลำหรับเรา แค่เปลี่ยนมาดื่มนมสำหรับคนท้องแค่นั้นเอง แต่ถ้าใครที่ดื่มไม่ได้ก็ลองหาอย่างอื่นที่มีแคลเซียมสูงกิน อย่างปลาเล็กๆ ผักใบเขียว พวกกะปิก็มีแคลเซียมนะจ๊ะ
แต่โดยปกติคนท้องจะห่วงลูกน้อยในท้องอยู่แล้ว บางคนก็ฝืนกิน(บีบจมูกเอา) สู้เพื่อลูกว่างั้น สิ่งทีอยากแนะนำคือเห็นบางคนพอท้องก็ไปซื้อนมกระป๋องเล็กๆ ราคาแพงๆ มากิน ..เราว่า อ่านฉลากเพื่อดูว่ามีสารอาหารอะไรบ้างก่อนจะดีไหม เพราะถ้าลองเปรียบเทียบดู นมกล่องสำหรับคุณแม่ก็มีปริมาณสารต่างๆที่ร่างกายคนท้องต้องการเยอะกว่าอยู่นะคะ ซื้ออะไรต้องเปรียบเทียบก่อน อันนี้เอามาฝากค่ะ ได้มาจากหนังสือแจกของดัชมิลล์ ชื่อ “นม อาหารเพื่อชีวิตและสุขภาพ” โดย รองศาตราจารย์ดร.ประไพศรี ศิริจักรวาล ใครอยากได้ฉบับเต็ม ลองโทร.ไปที่ 028812222ดูนะคะ(ไม่ทราบว่าจะยังมีแจกไหมนะ)


นี่เป็นตารางปริมาณแคลเซียมที่มีในอาหารทั่วไปที่เราทาน แม่ที่กินนมไม่ได้จะได้ไม่กังวล เพราะแคลเซียมในอาหารอื่นก็มี (ไม่งั้นเราคงโตมาไม่ได้ สมัยก่อนแม่เราได้กินนมกันเป็นคันรถอย่างรุ่นเราที่ไหนกันละเนอะ) แต่ก็อย่าละเลย เพราะแคลเซียมสำคัญสำหรับการเจริญเติบโตไม่น้อย อย่างของเราดื่มเยอะมากแบบเผื่อเหลือเลยทีเดียว(แม่ขาดอยู่แล้ว แถมมาท้องอีก) แต่ลูกแข็งแรงมาก ตั้งไข่ตั้งแต่ 10 เดือน ปั้นจักรยานสามล้อได้ตั้งแต่สองขวบ (ตอนนี้ปั้นทางขรุขระที่ไร่ยังฉิวเลย แม่ลองไปปั่นด้วยยังแพ้เลยค่ะ)
..เป็นกำลังใจให้แม่ที่กินนมไม่ได้ เรามีทางเลือกจ้า...












วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เชื้อราในช่องคลอดระหว่างตั้งครรภ์..ฉันก็เป็น

ไม่ต้องอายค่ะ เรื่องธรรมดามากเลยที่คนท้องอย่างเราจะคัน...
ตอนเราไปปรึกษาหมอเรื่องนี้ หมอยิ้ม(เหมือนเคย) แล้วบอกว่ามันธรรมดาที่คนท้องซึ่งปัสสาวะบ่อย ตรงนั้นก็ย่อมจะชื้น เชื้อราก็ชอบ แถมจุลินทรีย์ที่ช่วยปกป้องตรงนั้นในช่วงตั้งครรภ์จะลดลงด้วย(ถ้าไม่ช่างถามหมอคงไม่อธิบายมาก ..ใครไปเจอหมอ ด้วยอาการอย่างไรก็ตามถ้าอยากรู้ต้องถามค่ะ ..เซ้าซี้เข้าไป เดี๋ยวหมอจะlectureให้เราฟังเอง เป็นสิทธิ์ของเราด้วยนะจ๊ะที่จะรู้เกี่ยวกับเรื่องโรคที่เราเป็นอยู่ ..วงเล็บยาวจัง)
เอาล่ะ มาดูข้อมูลเน้นๆกันดีกว่าจ้า

โรคเชื้อราในช่องคลอด ( Thrush) คือ การติดเชื้อราในบริเวณช่องคลอด ซึ่งมีสาเหตุมาจากเชื้อยีสต์ชนิดหนึ่งที่เรียกกันว่า "แคนดิดา อัลบิแคนส์" (Candida albicans) คนส่วนใหญ่จะมีเชื้อราอาศัยอยู่ในร่างกาย ซึ่งโดยปกติแล้ว เชื้อราจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาแต่อย่างใด แต่ในระหว่างที่ตั้งครรภ์นั้น สภาพภายในร่างกายของเราจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ประกอบกับความสมดุลของกรด-ด่างที่เปลี่ยนไปจากเดิมซึ่งจะส่งเสริมการเจริญเติบโตของเชื้อยีสต์ดังกล่าว ซึ่งนำไปสู่การเกิดโรคเชื้อราในช่องคลอดได้


โรคเชื้อราในช่องคลอดมีอาการอย่างไรบ้าง

• อาการของแต่ละคนจะแตกต่างกันเล็กน้อย แต่หากคุณสังเกตเห็นอาการเหล่านี้ตั้งแต่หนึ่งอย่างขึ้นไป แสดงว่าคุณอาจเป็นโรคเชื้อราในช่องคลอด
• อาการคันหรือแสบร้อนภายในหรือรอบๆ ช่องคลอด
• อาการเจ็บโดยทั่วไปและ/หรือบวมแดง
• อาการเจ็บระหว่างมีเพศสัมพันธ์หรือขณะปัสสาวะ

ตกขาวที่มีลักษณะขาวขุ่นและข้นกว่าปกติ การมีตกขาวที่มีลักษณะใส มีสีขาวคล้ายน้ำนมออกมามากขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ถือเป็นเรื่องปกติ แต่หากคุณสังเกตเห็นว่าตกขาวมีลักษณะข้นขึ้น คล้ายกับคอตเทจ ชีส ( cottage cheese) นั่นอาจจะเป็นอาการอย่างหนึ่งของโรคเชื้อราในช่องคลอด

หากคุณคิดว่าอาจเป็นโรคเชื้อราในช่องคลอด ควรแจ้งให้พยาบาลผดุงครรภ์หรือสูติแพทย์ของคุณทราบโดยเร็วที่สุดเพื่อหาวิธีการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

วิธีการรักษาโรคเชื้อราในช่องคลอดอย่างปลอดภัย
• การซื้อยาจากร้านขายยามาใช้เองระหว่างตั้งครรภ์เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ ควรปรึกษาสูติแพทย์หรือพยาบาลผดุงครรภ์ของคุณก่อนซื้อยาใดๆ
• ใช้ผ้าห่อน้ำแข็งหรือแผ่นประคบที่มีสารสกัดจากวิทช์ เฮเซล ( witch-hazel compress) เพื่อบรรเทาอาการในบริเวณดังกล่าว
• หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นหรือแช่น้ำอุ่น เชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคเชื้อราในช่องคลอดจะเจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศที่อบอุ่น
• ควรใช้เจลอาบน้ำหรือสบู่ที่ปราศจากส่วนผสมของน้ำหอม
• สวมกางเกงชั้นในที่ทำจากผ้าฝ้ายที่ไม่รัดแน่นจนเกินไปเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก
• รับประทานโยเกิร์ตชนิดธรรมดาซึ่งมีจุลินทรีย์ก็สามารถช่วยได้เช่นกัน โรคเชื้อราในช่องคลอดกับลูกน้อยของคุณ
ถึงแม้ว่าโรคเชื้อราในช่องคลอดอาจสร้างความรำคาญอย่างมาก แต่ก็ไม่เป็นอันตรายต่อลูกน้อยในครรภ์ แต่ก็มีโอกาสที่จะติดต่อไปยังลูกได้ในระหว่างคลอดและทำให้คุณรู้สึกเจ็บระหว่างให้นมลูกได้ ถ้าจะให้ดี คุณควรรักษาให้หายก่อนที่จะคลอด

ถึงแม้ว่าโรคเชื้อราในช่องคลอดอาจสร้างความรำคาญอย่างมาก แต่ก็ไม่เป็นอันตรายต่อลูกน้อยในครรภ์ แต่ก็มีโอกาสที่จะติดต่อไปยังลูกได้ในระหว่างคลอด และทำให้คุณรู้สึกเจ็บระหว่างให้นมลูกได้ ถ้าจะให้ดี คุณควรรักษาให้หายก่อนที่จะคลอด
ขอบคุณ เวปdumexจ้า

วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2554

อีกโรคที่เฉียวๆมาตอนท้อง..ธาลัสซีเมีย

เป็นธรรมดาเมื่อฝากครรภ์ต้องมีการตรวจเลือด ของเรารอบแรกสงสัยว่าเป็นธาลัสซีเมีย เลยได้เจ็บตัวอีกรอบเพื่อตรวจละเอียด ก็พบว่าเป็นเลือดจางเฉยๆ คนขาวใช่ว่าจะดีนะคะ มาศึกษาโรคนี้เป็นความรู้กันดีกว่า
ธาลัสซีเมีย เป็นโรคโลหิตจางทางพันธุกรรมชนิดเรื้อรัง ที่มีอุบัติการสูงในประเทศ ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีความผิดปกติในการสร้างสารโกลบิน (ในเชิงปริมาณ) ที่มารวมกันเป็นฮีโมโกลบินเอ (Hemoglobin A) กล่าวคือมีการสร้างสารฮีโมโกลบินเอ (สารสีแดงในเม็ดเลือดแดง) ลดน้อยลงนั่นเอง ทำให้เม็ดเลือดแดงมีลักษณะผิดปกติและแตกง่าย ก่อให้เกิดอาการซีด เลือดจางเรื้อรัง และมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาครับ
โดยปกติ ยีน ที่ควบคุมกำหนดลักษณะต่างๆ ในร่างกายจะเป็นคู่ ข้างหนึ่งได้รับถ่ายทอดมาจากพ่อ อีกข้างหนึ่งได้รับมาจากแม่ ผู้ที่เป็นโรคธาลัสซีเมียนั้นจะได้รับการถ่ายทอดยีน ที่ควบคุมการสร้างเม็ดเลือดแดงผิดปกติ มาจากทั้งพ่อและแม่ครับ ดังนั้นผู้ที่ได้รับถ่ายทอดยีนธาลัสซีเมียมาจึงมีได้สองแบบคือ
แบบที่ 1 เป็นพาหะ คือ ผู้ที่มียีน หรือกรรมพันธุ์ของโรคธาลัสซีเมียพวกหนึ่งเพียงข้างเดียว (อัลฟ่า-ธาลัสซีเมีย หรือ เบต้า-ธาลัสซีเมีย) เรียกว่ามียีนธาลัสซีเมียแฝงอยู่ จะมีสุขภาพดีปกติ ต้องตรวจเลือดโดยวิธีพิเศษจึงจะบอกได้ เรียกว่าเป็นพาหะ เพราะสามารถถ่ายทอดยีนผิดปกติไปให้ลูกก็ได้ ผู้ที่เป็นพาหะอาจถ่ายทอดยีนข้างที่ปกติหรือข้างที่ผิดปกติให้ลูกก็ได้
แบบที่ 2 เป็นโรค คือ ผู้ที่รับยีนผิดปกติ หรือกรรมพันธุ์ของโรคธาลัสซีเมียพวกเดียวกันทั้งสองข้าง (อัลฟ่า-ธาลัสซีเมีย หรือ เบต้า-ธาลัสซีเมีย) มาจากทั้งพ่อและแม่ ผู้ป่วยมียีนผิดปกติทั้งสองข้าง และถ่ายทอดความผิดปกติข้างใดข้างหนึ่งต่อไปให้ลูกแต่ละคนด้วย
ในส่วนความผิดปกติของยีนธาลัสซีเมียนี้ ต้องขอลงลึกถึงรายละเอียด เพื่อนำมาอธิบายถึงกรณีของคุณนิสาชลครับ ยีนธาลัสซีเมียแบ่งได้เป็นสองพวกใหญ่ๆ คือ พวกที่มีความผิดปกติของยีนบนสายอัลฟ่า เรียกว่า อัลฟ่า-ธาลัสซีเมีย และพวกที่มีความผิดปกติของยีนบนสายเบต้า เรียกว่า เบต้า-ธาลัสซีเมีย
พวกที่ 1 – แอลฟ่า-ธาลัสซีเมีย พบมากได้แก่
o พาหะของแอลฟ่า-ธาลัสซีเมีย 1 พบประมาณร้อยละ 5
o พาหะของแอลฟ่า-ธาลัสซีเมีย 2 พบประมาณร้อยละ 16
o พาหะของฮีโมโกลบินคอนสแตนท์สปริง พบประมาณร้อยละ 4
พวกที่ 2 – เบต้า-ธาลัสซีเมีย พบมากได้แก่
o พาหะของเบต้า-ธาลัสซีเมีย พบประมาณร้อยละ 5 (ชนิดที่คุณนิสาชลเป็นพาหะ)
o พาหะของฮีโมโกลบินอี พบประมาณร้อยละ 13 (ชนิดที่สามีของคุณนิสาชลเป็นพาหะ)
ดังที่ได้กล่าวก่อนหน้านี้แล้วว่า ผู้เป็นโรคธาลัสซีเมียต้องได้รับยีนผิดปกติจากทั้งบิดาและมารดา และจะต้องเป็นพวกเดียวกันด้วย หมายถึงความผิดปกติในแอลฟ่าธาลัสซีเมียด้วยกันหรือพวกเบต้าธาลัสซีเมียด้วยกัน จึงจะเป็นโรค ถ้าพ่อและแม่มียีนธาลัสซีเมียคนละพวก ลูกก็รับมาทั้งสองยีน ถึงแม้จะทำให้เป็นโรคแต่ก็ถ่ายทอดไปสู่หลานได้ครับ เนื่องจากยีนธาลัสซีเมียมีหลายชนิด การได้รับยีนผิดปกติต่างกันมาจับคู่กัน จึงทำให้มีธาลัสซีเมียเกิดขึ้นหลายชนิด มีชื่อเรียกต่างๆ กันและนอกจากนี้ความรุนแรง ยังแตกต่างกันมาก ตั้งแต่รุนแรงมากที่สุดถึงไม่มีอาการเลย ดังนี้คือ
พวกแอลฟ่า-ธาลัสซีเมีย
o แอลฟ่า-ธาลัสซีเมีย 1 กับ แอลฟ่า-ธาลัสซีเมีย 1 เรียกว่า ฮีโมโกลบินบาร์ทไฮดรอพส์ ฟิทัลสลิส รุนแรงที่สุด
o แอลฟ่า-ธาลัสซีเมีย 1 กับ แอลฟ่า-ธาลัสซีเมีย 2 เรียกว่า ฮีโมโกลบินเอ็ช รุนแรงน้อย
o แอลฟ่า-ธาลัสซีเมีย 1 กับ ฮีโมโกลบินคอนสแตนท์สปริง เรียกว่า ฮีโมโกลบินเอ็ชคอนสแตนท์สปริง รุนแรงน้อย
o ฮีโมโกลบินคอนสแตนท์สปริง กับ ฮีโมโกลบินคอนสแตนท์สปริง เรียกว่า โฮโมซัยกัสคอนสแตนท์สปริง อาการน้อยมาก
o แอลฟ่า-ธาลัสซีเมีย 2 กับ แอลฟ่า-ธาลัสซีเมีย 2 เรียกว่า โฮโมซัยกัส ไม่มีอาการ
พวกเบต้า-ธาลัสซีเมีย
o เบต้า-ธาลัสซีเมีย กับ เบต้า-ธาลัสซีเมีย เรียกว่า โฮโมซัยกัส
o เบต้า-ธาลัสซีเมีย กับ เบต้า-ธาลัสซีเมียเมเจอร์ รุนแรงมาก
o เบต้า-ธาลัสซีเมีย กับ ฮีโมโกลบินอี เรียกว่า เบต้า-ธาลัสซีเมีย/ฮีโมโกลบิน (กรณีของลูกคุณนิสาชล) อาการรุนแรงปานกลาง
o ฮีโมโกลบินอี กับ ฮีโมโกลบินอี เรียกว่า โฮโมซัยกัส ฮีโมโกลบินอี อาการน้อยมาก

โรคธาลัสซีเมีย รักษาได้อย่างไร
เนื่องจากโรคธาลัสซีเมียมในประเทศไทยมีหลายชนิด และก่อให้เกิดอาการแตกต่างกันได้มาก ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการน้อยมาก จนไม่ต้องให้การรักษาอย่างใดเป็นพิเศษ แต่บางรายซีดมาก ต้องได้รับการรักษาและติดต่อกับแพทย์เป็นประจำโดยสม่ำเสมอ ฉะนั้นก่อนอื่นผู้ปกครอง ผู้ป่วย และครอบครัว จะต้องเข้าใจเสียก่อนว่า โรคธาลัสซีเมีย คืออะไร มีแบบแผนการถ่ายทอดทางพันธุกรรมอย่างไร ผู้ป่วยเป็นโรคธาลัสซีเมียชนิดใด ผู้ที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดทางสายเลือด เช่น บิดา มารดา บุตร พี่น้อง และรวมทั้งคู่สมรสควรได้รับการตรวจเลือด เพื่อให้ทราบและเข้าใจเกี่ยวกับแบบแผนการถ่ายทอดทางพันธุกรรม และจะเป็นประโยชน์ในการวางแผนการรักษาผู้ป่วย
ที่มา... นิตยสารบันทึกคุณแม่ ปีที่ 11 กันยายน 2547(เวปbabyfancy)


วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ไทรอยด์เป็นพิษกับคนท้อง

ถึงโรคไทรอยด์เป็นพิษจะพบไม่มากในคุณแม่ท้องเพราะจากข้อมูลโรงพยาบาลศิริราช พบว่าในคุณแม่ 300 คน จะพบที่ป่วยเป็นโรคนี้อยู่ 1 คน แต่หากเป็นขึ้นมาแล้ววิธีง่ายๆ ก็คือการดูแลสุขภาพให้ดีเพื่อความปลอดภัยของทั้งตัวเองและลูกในท้องครับ
1. คุณละเลย อายุ 28 ปี เป็นนักเขียนในนิตยสารชื่อดัง เมื่อประมาณ 2 ปีก่อน เริ่มมีอาการเหนื่อยง่าย ใจสั่น กินเก่งแต่กลับผอมลง เมื่อไปตรวจกับคุณหมอก็วินิจฉัยว่าเป็นโรคไทรอยด์เป็นพิษ ได้ให้การรักษาโดยกินยาควบคุมและนัดมาตรวจเป็นระยะๆ แต่คุณละเลยก็ไปตามนัดไม่ค่อยสม่ำเสมอ เพราะไม่ค่อยว่าง และอาการของโรคก็ไม่มีอะไรรุนแรงมากนัก

ประมาณ 1 ปีก่อนคุณละเลยแต่งงาน หลังจากนั้นไม่นานก็ตั้งครรภ์ คุณละเลยได้ไปฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลรัฐที่เคยไปรักษาไทรอยด์ ขณะอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ได้รับการตรวจเลือด ผลปรากฏว่าระดับฮอร์โมนไทร็อกชินสูงมาก และยังพบว่าคุณละเลยค่อนข้างซีดด้วย คุณหมอได้ให้ยารักษาไทรอยด์และยาบำรุงเลือดไปกิน แต่คุณละเลยก็กินยาไม่สม่ำเสมอ และไม่มาตรวจตามที่คุณหมอนัด
ขณะตั้งครรภ์ได้ 38 สัปดาห์ คุณละเลยงานยุ่งมาก อดนอนมาหลายวันแถมยังเป็นช่วงที่อากาศเปลี่ยน ฝนตกบ่อย คุณละเลยไม่สบาย มีไข้ขึ้นสูงตอนแรกนึกว่าเป็นแค่หวัดธรรมดา แต่กลับมีอาการหนาวสั่น ตัวร้อนมากจึงไปโรงพยาบาล คุณหมอตรวจพบว่ามีไข้สูงถึง 40 องศา มีอาการเหม่อลอยไม่ค่อยรู้สึกตัว แถมยังมีอาการขาดน้ำอย่างรุนแรง ปากแห้งมาก อ่อนเพลีย คุณหมอวินิจฉัยว่า คุณละเลยมีอาการไทรอยด์เป็นพิษขั้นรุนแรง หรือภาษาแพทย์เรียกว่าไทรอยด์เป็นพิษขั้นวิกฤติ (Thyroid Crisis) ต้องรับไว้รักษาในหอผู้ป่วยหนัก และให้การรักษาอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการให้สารน้ำอาหารทางสายยาง ยารักษาไทรอยด์ที่จะเป็นหลายชนิด รวมทั้งให้ยาลดความดันโลหิต เนื่องจากพบว่าความดันโลหิตสูงมากด้วย
หลังจากรักษาตัวอยู่ 2 วัน คุณละเลยเกิดเจ็บท้องคลอด คุณหมอจึงทำคลอดให้เป็นทารกเพศหญิง น้ำหนัก 2,100 กรัม พบว่าติดเชื้อ ตัวเหลืองหายใจเร็ว ต้องรับตัวไว้รักษาในหอผู้ป่วยทารกแรกเกิดนานถึง 3 สัปดาห์จึงกลับบ้านได้ ส่วนคุณละเลยต้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 1 เดือน จึงกลับบ้านได้
2. คุณทอดทิ้ง อายุ 23 ปี เป็นพนักงานขายของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งเมื่อ 3 ปีก่อนรู้สึกว่าประจำเดือนของตัวเองมาน้อยกว่าปกติ หงุดหงิดง่าย ใจสั่น ขี้ร้อน เมื่อไปตรวจร่างกายจึงทราบว่าตัวเองเป็นไทรอยด์เป็นพิษ คุณหมอก็ได้ให้ยามากิน แต่คุณทอดทิ้งกินยาไม่สม่ำเสมอเนื่องจากงานยุ่งมาก
ประมาณ 8 เดือนก่อน คุณทอดทิ้งเริ่มตั้งครรภ์และไปฝากครรภ์กับคุณหมอที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง คุณหมอที่ดูแลได้กำชับให้คุณทอดทิ้งกินยารักษาโรคไทรอยด์เป็นพิษให้สม่ำเสมอ เพื่อจะได้คุมอาการของโรคให้ได้แต่คุณทอดทิ้งก็ทำไม่ได้เพราะงานยุ่ง ในช่วงระยะที่ตั้งครรภ์นี้คุณทอดทิ้งยังมีอาการมือสั่น ใจสั่นบ้างเล็กน้อย กินยาบ้างไม่กินบ้าง
ขณะอายุครรภ์ได้ประมาณ 35 สัปดาห์ เป็นช่วงที่คุณทอดทิ้งงานยุ่งมากจนไม่ค่อยได้ดูแลตัวเอง แต่สังเกตว่าลูกดิ้นน้อยลงจนผิดปกติ จึงรีบมาพบคุณหมอ เมื่อตรวจร่างกายและอัลตราซาวนด์ คุณหมอพบว่าลูกในท้องเสียชีวิตแล้ว และยังพบอีกว่าตัวคุณทอดทิ้งเองก็ความดันโลหิตสูง คุณหมอจึงให้ยาเร่งคลอด และยาลดความดันร่วมด้วย ผลการคลอดได้ทารกที่เสียชีวิตแล้ว เป็นทารกเพศชาย น้ำหนัก 1,700 กรัม ส่วนคุณทอดทิ้งต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลประมาณ 1 สัปดาห์จึงกลับบ้านได้
ผู้ป่วยทั้ง 2 รายเป็นตัวอย่างของผู้ป่วยที่เป็นโรคไทรอยด์เป็นพิษขณะตั้งครรภ์ ซึ่งมีความรุนแรงของโรคค่อนข้างมาก จนทำให้เกิดทั้งปัญหาที่ซับซ้อนและยุ่งยากต่อการดูแลรักษา รวมทั้งยังเสี่ยงชีวิตของทั้งแม่และลูกด้วย

รู้จักไทรอยด์
ไทรอยด์เป็นชื่อของต่อมชนิดหนึ่งที่วางอยู่บริเวณด้านหน้าตรงบริเวณลูกกระเดือก ปกติจะคลำไม่พบ มองไม่เห็น หน้าที่หลักของต่อมไทรอยด์คือการสร้างสารเคมีชนิดหนึ่งแล้วปล่อยเข้าสู่กระแสเลือด สารเคมีที่ว่าชื่อว่า “ฮอร์โมนไทร็อกชิน” ภายหลังเข้าสู่กระแสเลือดฮอร์โมนตัวนี้จะกระจายไปควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกายในหลายลักษณะงาน เช่น ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้สมดุล ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายให้ราบรื่น ควบคุมการเต้นของหัวใจให้ปกติ ฯลฯ
พิษสง…ไทรอยด์เป็นพิษ
โดยปกติต่อมไทรอยด์จะสร้างฮอร์โมนไทร็อกชินออกมาในปริมาณที่เหมาะสมเพราะถ้าสร้างมากหรือน้อยเกินไปก็จะทำให้เกิดปัญหาต่อร่างกายได้ทั้งสิ้น เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ ผมจะลองเปรียบเทียบการทำงานของต่อมไทรอยด์กับเครื่องยนต์ของรถยนต์ดูนะครับ สมมติว่าเรามีรถยนต์อยู่คันหนึ่ง ถ้าเครื่องยนต์ของรถคันดังกล่าวเกิดมีปัญหาเครื่องไม่ยอมดับ แถมเวลาเร่งเครื่องแค่นิดหน่อย เครื่องก็กลับเร่งมากจนควบคุมไม่อยู่ผลดังกล่าวจะทำให้ตัวรถร้อนและผลาญน้ำมันตลอดเวลา และถ้าวิ่งไปบนถนนรถก็อาจจะสั่นหรือซนอะไรได้ง่าย ในทางตรงกันข้าม ถ้ารถที่ว่ามีเครื่องยนต์ที่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ เร่งเครื่องเท่าไรก็ไม่ค่อยยอมจะวิ่ง วิ่งอืด หรือเครื่องดับง่าย กรณีนี้ก็ทำให้รถยนต์ใช้การไม่ค่อยจะได้เช่นเดียวกัน
การทำงานของต่อมไทรอยด์ของคนเราก็เปรียบได้กับการทำงานของเครื่องยนต์ กล่าวคือถ้าต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนไทร็อกชินออกมามากกว่าปกติ ก็จะทำให้คนคนนั้นมีอาการอยู่ในสภาพที่อยู่ไม่สุข กล่าวคือจะรู้สึกขี้ร้อน หงุดหงิด มือสั่นใจสั่น ประจำเดือนรวน มาน้อย บางคนเป็นมากอาจมีอาการตาโปนออกมา เราเรียกคนที่มีลักษณะเช่นนี้ว่าเป็น “โรคไทรอยด์เป็นพิษ” หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Hyperthyroidism หรือ Thyrotoxicosis นั่นเองแหละครับ
ในทางตรงกันข้าม ถ้าต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนตัวนี้น้อยกว่าปกติ ร่างกายก็จะถูกกระตุ้นให้ทำงานน้อยลง ส่งผลให้เป็นคนเชื่องช้า อ้วนฉุ ขี้เกียจ มักง่วงนอน ซึ่งถือเป็นโรคชนิดหนึ่งเหมือนกันเรียกว่า “โรคต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยกว่าปกติ” หรือเรียกกันในภาษาอังกฤษว่า Hypothyroidism โรคที่ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยกว่าปกตินี้ถ้าเกิดขึ้นในเด็กเล็กอาจทำให้เด็กคนนั้นโตขึ้นมาเป็นเด็กที่มีปัญหาปัญญาอ่อนได้นะครับ
โดยทั่วไปแล้ว เราพบคนที่เป็นโรคไทรอยด์เป็นพิษมากกว่าคนที่ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยกว่าปกติครับ หลายคนคงสงสัยว่า แล้วโรคนี้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร คำตอบคือยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด บางคนว่าจากกรรมพันธุ์จากอาหาร จากสิ่งแวดล้อม สารพัดจะคิดสรุปก็คือยังไม่ทราบ ยกเว้นในเด็กที่คลอดจากมารดาที่เป็นโรคนี้และกินยาควบคุมโรคนี้มากเกินไป ก็อาจจะทำให้ลูกเป็นโรคต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยกว่าปกติได้ครับ
ไทรอยด์เป็นพิษกับการตั้งครรภ์
คนที่เป็นโรคไทรอยด์เป็นพิษถ้าเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมาจะมีผลกระทบอะไรไหม หลายคนคงอยากจะทราบคำตอบใช่ไหมครับ
ถ้าจะพูดกันให้ครบถ้วนแล้ว ก็ต้องไล่ตั้งแต่เริ่มจะมีการตั้งครรภ์เลยครับว่า คนที่เป็นโรคนี้อาจจะมีลูกยาก เนื่องจากการตกไข่จะถูกรบกวน แต่ถ้าตั้งครรภ์ได้ก็อาจจะมีปัญหาว่าลูกน้อยในท้องมีการเจริญเติบโตไม่ดี เนื่องจากสารอาหารที่ลูกควรจะได้จากแม่ถูกเผาผลาญทิ้งไปเฉยๆ เป็นจำนวนมาก ทำให้เหลือไปยังลูกน้อยกว่าที่ควรจะเป็น บางคนที่โรครุนแรงมากลูกอาจจะตายในครรภ์เลยก็ได้ อย่างรายของคุณทอดทิ้งที่ยกตัวอย่างนั่นแหละครับ อย่างไรก็ตามโรคนี้ไม่ทำให้ลูกพิการแต่อย่างใด
สำหรับตัวคุณแม่ที่ตั้งครรภ์เองพบว่าถ้าควบคุมอาการของโรคให้ดีก็ไม่น่าเกิดปัญหาอะไร แต่ถ้าควบคุมโรคได้ดี อาจทำให้เสี่ยงชีวิตได้จากการที่ร่างกายถูกกระตุ้นมากเกินไป บางคนอาจจะหัวใจวายไตวาย หมดสติ มีอาการขาดน้ำ เหมือนกับรายของคุณละเลยที่ยกมาเป็นตัวอย่าง
3 วิธีรักษา

ไข้ยา วิธีรักษาโรคไทรอยด์เป็นพิษที่ดีก็คือ ต้องควบคุมให้ต่อมไทรอยด์ทำงานโดยการสร้างฮอร์โมนไทร็อกชินออกมาในปริมาณที่เหมาะสม ซึ่งปัจจุบันเราใช้ยาในการควบคุมการทำงาน ยากที่ใช้กันบ่อยและได้ผลดีคือ PTU (Propylthiouracil) ซึ่งจะช่วยปรับลดปริมาณฮอร์โมนไทร็อกชินให้อยู่ระดับใกล้เคียงปกติเพื่อให้อาการสงบ
คนที่เป็นโรคนี้ต้องกินยาตัวนี้ไปเรื่อยๆ และควรพบแพทย์ตามนัดเพื่อปรับปริมาณยาให้เหมาะสมกับความรุนแรงของโรคหลายคนคงสงสัยว่า แล้วจะต้องกินยาไปนานซักเท่าไรถึงจะเลิกได้ คำตอบก็คือบอกยากครับ บางคนกินไม่นานอาการของโรคก็หยุดไปและเลิกยาแล้วก็ไม่มีอาการ บางคนอาการเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายต้องกินยาบ้าง หยุดบ้างไปเรื่อยๆ บางคนหยุดยาไม่ได้เลย ก็มี ขืนหยุดโรคแผลงฤทธิ์เลยทันที เอาเป็นว่าตัวใครตัวมันก็แล้วกันครับ

ดื่มน้ำแร่ การดื่มน้ำแร่บางชนิดสามารถไปช่วยลดจำนวนเซลล์ของต่อมไทรอยด์ที่ทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนไทร็อกชินได้ เพื่อจะลดการผลิตฮอร์โมนออกมา ร่างกายจะได้ถูกระตุ้นในทำงานน้อยลง แต่ถ้าดื่มมากไปก็อาจทำให้ต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนน้อยเกินไป กลายเป็นเป็นโรคต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยกว่าปกติก็เป็นได้ครับ
ผ่าตัด บางคนที่กินยาหรือดื่มน้ำแร่แล้วก็ยังไม่ค่อยได้ผล ก็ต้องใช้วิธีผ่าตัดเอาเนื้อต่อมไทรอยด์บางส่วนออก เพื่อลดปริมาณการผลิตฮอร์โมนไทร็อกชินลง การผ่าตัดที่ว่านี้มีความเสี่ยงไม่น้อย เพราะใกล้เคียงกับต่อมไทรอยด์ที่ทารกผ่าตัด ยังมีต่อมอีกต่อมหนึ่งเรียกชื่อว่าต่อมพาราไทรอยด์ (Parathyroid Gland) ซึ่งทำหน้าที่ในการควบคุมปริมาณแคลเซียมในร่างกาย และก็ยังมีเส้นประสาทที่ควบคุมการใช้เสียงพูดอยู่ข้างๆ และทั้งต่อมและเส้นประสาทที่ว่าก็มีขนาดเล็กเหลือเกิน จนดูแทบไม่ออก ถ้าผ่าตัดไม่ดีไปโดนต่อมหรือเส้นประสาทที่ว่าเข้าก็เป็นเรื่องเหมือนกัน กล่าวคืออาจทำให้เกิดปัญหากระดูกบางหรือเสียงแหบตามมาได้ เป็นไง…อ่านแล้วเหนื่อยไหมครับ
จะเห็นได้ว่าการรักษาโรคนี้ก็เหมือนการพยายามที่จะจูนคลื่นวิทยุหรือปรับความแรงของเครื่องยนต์ให้ทำงานในระดับปกติ ซึ่งทำได้ไม่ง่ายนัก ต้องค่อยๆ ทำไปดังนั้นการรักษาที่ดีอย่างต่อเนื่องจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
ถ้าคุณแม่ท่านใดเป็นโรคนี้ ก็อยากจะฝากข้อแนะนำว่าพยายามมีวินัยในการกินยานะครับ ทำตัวให้สบาย ไม่หาเรื่องเครียดใส่ตัวจนเกินไป พักผ่อนให้เพียงพอแค่นี้ก็น่าจะพอ ขอให้คุณแม่ที่เป็นโรคนี้ทุกคนตั้งครรภ์และคลอดโดยปลอดภัยนะครับ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2550
จากเวปwomen.kapookจ้า

วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

10 โรคแทรกซ้อน แม่ท้องต้องระวัง

เมื่อเรามีปัญหาเราก็ย่มต้องการคำตอบ บางคนอาจไม่ได้เป็นแค่ไธรอยด์ ข้อมูลนี้ดีค่ะ มีทั้งสาเหตุ วิธีการรักษา(และคำปลอบใจไม่ให้กังวลมากเกินไปจากคุณหมอด้วย)ลองอ่านดูนะคะ
(ข้อมูลจาก เวปbeing-mom อ้างถึง รองศาสตราจารย์นายแพทย์วิทยา ถิฐาพันธ์
ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=511)

เมื่อคุณแม่มีการตั้งครรภ์ ร้อยทั้งร้อยต่างก็ต้องการให้การตั้งครรภ์และการคลอดจบลงอย่างสมบูรณ์แบบที่สุดในลักษณะที่พูดง่ายๆว่า “ลูกเกิดรอด....แม่ปลอดภัย”
แต่ในความเป็นจริงไม่ง่ายอย่างที่ต้องการหรอกครับ มีคุณแม่จำนวนไม่น้อยที่เมื่อมีการตั้งครรภ์กลับมีโรคแทรกซ้อนเกิดขึ้นสารพัดโรค บางโรคก็รุนแรงไม่มาก ในขณะที่บางโรคก็รุนแรงมากจนอาจเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้
ลองมาดูข้อมูลของจริงเกี่ยวกับโรคแทรกซ้อนที่พบในคุณแม่ตั้งครรภ์ในโรงพยาบาลศิริราชกันดูนะครับว่ามีโรคอะไรบ้าง ผมจะนำเสนอเฉพาะโรคที่พบบ่อยๆ และค่อนข้างเสี่ยงต่อสุขภาพของคุณแม่และลูกในท้องนะครับ
1. ท้องนอกมดลูก
โดยปกติแล้วคนเราเวลาตั้งครรภ์ก็จะตั้งครรภ์ในมดลูก แต่มีจำนวนไม่น้อยที่ไข่ที่ได้รับการผสมกับอสุจิแล้วไปฝังอยู่ที่ท่อนำไข่ บางคนไปฝังในรังไข่เลยก็มี หรือบางคนก็ในช่องท้อง แต่กรณีที่พบบ่อยที่สุดคือท้องในท่อนำไข่ การตั้งครรภ์นอกมดลูก เป็นการตั้งครรภ์ที่ผิดปกติ ส่วนมากเด็กโตไปได้ระยะหนึ่งก็มักจะเสียชีวิต
สาเหตุ : ท้องนอกมดลูกมักพบบ่อยๆ ในคนที่มีประวัติเคยมีปีกมดลูกอักเสบ เคยทำแท้งบ่อยๆ การขูดมดลูกอาจจะมีการอักเสบติดเชื้อ ทำให้ท่อนำไข่หรือมดลูกไม่เรียบ ไข่เดินทางไปสู่มดลูกได้ช้า การฝังตัวเกิดได้ไม่ดี จึงเกิดฝังตัวนอกมดลูก

การรักษา : ส่วนมากต้องผ่าตัดเพื่อเอาการตั้งครรภ์ที่ผิดปกติออก บางคนก็จำเป็นต้องตัดท่อนำไข่ทิ้ง หรือตัดรังไข่ทิ้ง แล้วแต่กรณี

การป้องกัน : การป้องกันอันตรายจากภาวะนี้ได้ดีที่สุดก็คือ การฝากครรภ์ให้เร็วที่สุด เพื่อหากพบภาวะนี้สามารถให้การรักษาได้ทันท่วงที ไม่เกิดอันตรายต่อคุณแม่ เพราะหากปล่อยไว้อาจเกิดท่อรังไข่ หรือรังไข่ฉีกขาดได้
2. ภาวะรกเกาะต่ำ
ปกติรกจะเกาะที่ยอดมดลูก แต่บางรายรกเกาะต่ำลงมาที่ปากมดลูก จึงขวางทำให้เด็กเคลื่อนลงมาไม่ได้ และถ้าเด็กตัวใหญ่ขึ้น รกที่เกาะอยู่แผ่นใหญ่ขึ้น พอขยายตัวอาจทำให้เกิดรอยเผยอระหว่างตัวรกกับปากมดลูกได้ ทำให้คุณแม่มีเลือดออก ถ้าเลือดออกมากๆ อาจทำให้เด็กและแม่เสียชีวิตได้ แต่ก็มีแม่บางคนซึ่งมีรกเกาะต่ำได้โดยที่ไม่เกิดปัญหาอะไรตามมาเลยก็ได้ ในขณะที่บางคนมีเลือดออกผิดปกติ
สาเหตุ : ส่วนมากมักเจอในแม่ที่มีลูกมากๆ เคยคลอดลูกหลายๆ คน หรือว่าเคยขูดมดลูกมาก่อน
การรักษา : หมอจะรอจนเด็กโต มีอายุครรภ์ครบกำหนด ก็จะนัดมาผ่าตัดคลอด แต่ในบางรายที่ยังไม่ทันครบกำหนดแล้วมีเลือดออกเยอะ อาจจำเป็นต้องผ่าตัดคลอดก่อนกำหนด เพื่อรักษาชีวิตแม่เอาไว้
การป้องกัน : หากรู้ว่าตนเองมีภาวะเสี่ยง ควรจะรีบฝากครรภ์เสียแต่เนิ่นๆ เพราะถ้าตรวจพบว่ามีรกเกาะต่ำ จะได้ระวังในเรื่องการปฏิบัติตัวไม่ให้มีการกระทบกระเทือน เนื่องจากการเกิดปัญหาเลือดออกจากรกเกาะต่ำ บางคนก็มีเลือดออกอย่างไม่มีสาเหตุ เกิดขึ้นมาเอง บางคนอาจจะเกิดจากการกระทบกระเทือนจากการทำงานหนัก นั่งรถ หรือมีเพศสัมพันธ์
3. แท้งบุตร

การแท้งบุตร คือการตั้งครรภ์นั้นจำเป็นต้องยุติหรือสิ้นสุดลงก่อนเวลาอันควร มักหมายถึง การตั้งครรภ์ที่ยุติก่อน 20-28 สัปดาห์ ซึ่งถ้ายุติในช่วงเวลานี้ส่วนมากเด็กจะไม่สามารถมีชีวิตได้เพราะว่าตัวเล็กเกินไป
สาเหตุ : มีอยู่ 2 ประการคือ แท้งเอง กับตั้งใจทำแท้ง การแท้งเองอาจเกิดจากไข่ที่ไม่สมบูรณ์ หรือว่าแม่มีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น เบาหวาน โรคเลือดบางชนิด ก็ทำให้แท้งได้ บางรายก็หาสาเหตุชัดๆ ไม่ได้ เช่น อาจจะเกิดจากภาวะเครียด อดนอน ทำงานหนัก
การป้องกัน : การแท้งจากบางสาเหตุก็ป้องกันไม่ได้ เช่น การที่ไข่ไม่สมบูรณ์ ซึ่งก็เป็นธรรมชาติที่ไข่ต้องทำลายตัวเองไป แต่หากเป็นการแท้งที่เกิดในแม่ที่มีโรคภัยไข้เจ็บ วิธีป้องกันที่ดีที่สุดก็คือ ก่อนตั้งครรภ์ต้องตรวจสุขภาพร่างกาย ถ้ามีโรคต้องรีบรักษาให้หาย หรือให้อยู่ในภาวะที่ควบคุมได้ จึงปล่อยให้มีการตั้งครรภ์ และควรปรึกษาแพทย์ก่อนตั้งครรภ์
4.ภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด

ตามธรรมชาติรกจะเกาะที่ยอดมดลูก เมื่อเด็กคลอด รกถึงจะหลุดจากมดลูกคลอดตามออกมาด้วย แต่บางรายรกที่เกาะมดลูกอยู่หลุดออกมาก่อน โดยที่เด็กยังไม่คลอด เมื่อรกหลุดทำให้เลือดที่ไปเลี้ยงเด็กที่เคยผ่านรกขาดไปทันที หากช่วยไม่ทันจะทำให้เด็กเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในท้องได้
สาเหตุ : ส่วนใหญ่มักเกิดจากอุบัติเหตุ เช่น ถูกกระแทกที่หน้าท้อง หกล้ม กระแทกกระเทือนจากการนั่งรถ หรืออุ้มลูกคนโต แต่บางรายก็ไม่เกี่ยวกับอุบัติเหตุ เช่น แม่เป็นความดันโลหิตสูง ก็อาจทำให้รกลอกตัวก่อนกำหนดได้เช่นกัน
การรักษา : ถ้าพบต้องเร่งทำคลอดทันที ซึ่งเด็กอาจจะตัวเล็กหรือตัวใหญ่แล้วแต่ว่ามีอุบัติเหตุเมื่ออายุครรภ์เท่าใด
การป้องกัน : เมื่อมีการตั้งครรภ์ต้องระมัดระวังอย่างยิ่งไม่ให้กระทบกระเทือนที่บริเวณหน้าท้อง
5.ตกเลือดหลังคลอด

หลังจากการคลอดลูกมดลูกจะมีการบีบตัว ทำให้มีเลือดไหลออกมา การคลอดปกติจะทำให้แม่เสียเลือดประมาณ 200-300 ซีซี. แต่มีแม่บางคนเลือดออกมากกว่านั้นจนกระทั่งช็อคหรือเสียชีวิต คำว่าตกเลือดหลังคลอดทางการแพทย์หมายความว่า ภายหลังจากคลอดเด็กแล้ว รกคลอดไปแล้ว แม่มีการเสียเลือดมากกว่าครึ่งลิตรหรือมากกว่า 500 ซีซี.
สาเหตุ : ที่พบบ่อยๆ มีอยู่ 2-3 ประการคือ

สาเหตุที่ 1 มดลูกบีบตัวได้ไม่ดี ทำให้มดลูกแข็งตัวได้ไม่ดี เลือดจึงออกเยอะ ไหลไม่หยุด การที่มดลูกบีบรัดตัวไม่ดี ส่วนมากพบในคนที่อายุมากๆ คลอดลูกบ่อยๆ หรือเกิดจากการคลอดยาก มดลูกบีบรัดตัวอยู่นานไม่คลอดเสียที ซึ่งอาจเพราะลูกตัวโต หรือเด็กมีท่าผิดปกติ พอบีบไม่ออก บีบนานๆ มดลูกก็ล้าหดรัดตัวไม่ดี หรือบางคนอาจได้รับยาคลายกล้ามเนื้อมดลูกบางอย่าง ทำให้มดลูกหดรัดตัวได้ไม่ดีเช่นกัน
การรักษา : มียาหลายชนิดที่ช่วยให้มดลูกบีบรัดตัวได้ดี แต่ในบางรายให้ยาชนิดใดก็ไม่ดีขึ้น อาจต้องใช้วิธีตัดมดลูกทิ้ง เพราะมิฉะนั้นแม่จะเสียเลือดมากจนเสียชีวิตได้ ซึ่งในกรณีอย่างนี้ก็พบได้ไม่บ่อยนัก

สาเหตุที่ 2 เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยอันดับที่สอง คือเกิดจากการที่มีการฉีกขาดของช่องทางคลอด ฝีเย็บอาจจะมีการฉีกขาดทำให้เลือดออกมาก บางคนปากมดลูกมีการฉีกขาด บางคนมดลูกฉีกขาดหรือแตกจากการคลอด ซึ่งพวกนี้อาจจะเกิดจากการที่เด็กตัวใหญ่มาก การคลอดจึงมีการฉีกขาดเยอะ หรือว่าอาจจะเกิดจากการที่ผู้ทำคลอดตัดฝีเย็บไม่ดี แผลใหญ่มาก เป็นต้น
การรักษา : ตรวจดูว่ามีการฉีกขาดที่ไหน ก็ไปเย็บซ่อมแซม แต่ถ้ามดลูกมีการฉีกขาดหรือแตกมาก ก็อาจต้องตัดมดลูกทิ้ง
สาเหตุที่ 3 คือเด็กคลอดไปแล้ว แต่รกคลอดไม่หมด ยังค้างอยู่บางส่วน รกที่ค้างอยู่ทำให้มดลูกหดรัดตัวไม่ดี ทำให้เสียเลือดได้
การรักษา : อาจต้องใช้มือเข้าไปล้วงรกที่ค้างอยู่ออกมา หรือขูดมดลูกเอาเศษรกที่ค้างอยู่ออก
การป้องกัน : แม่ทุกคนควรได้รับการดูแลที่ดีจากหมอ อย่าปล่อยให้มีการเจ็บครรภ์คลอดนานจนเกินไป ในประเทศไทยยังมีผู้เสียชีวิตจากตกเลือดหลังคลอดประปราย แต่ในประเทศที่ด้อยพัฒนายังเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนตาย เนื่องจากอาจจะมีเลือดมารักษาไม่เพียงพอ หรือยารักษาการติดเชื้อไม่ดีพอ แต่ในบ้านเราโชคดีที่การรักษาทำได้ค่อนข้างดี โอกาสที่จะตายจากโรคนี้จึงต่ำมาก
6.โรคความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์

มี 2 กลุ่มคือ ผู้หญิงบางคนเป็นความดันโลหิตสูงอยู่แล้วก่อนตั้งครรภ์ กับผู้หญิงอีกกลุ่มหนึ่งตอนที่ไม่ตั้งครรภ์ความดันไม่สูง แต่เมื่อตั้งครรภ์แล้วความดันกลับสูงได้ กลุ่มหลังเราจะเรียกว่าความดันโลหิตสูงจากการตั้งครรภ์ ซึ่งพบได้บ่อย คุณแม่จะมีอาการบวม ตรวจปัสสาวะเจอไข่ขาวหรือโปรตีนในปัสสาวะ ถ้าอาการรุนแรงและรักษาได้ไม่ดี คนไข้จะชัก อาจจะมีเส้นเลือดในสมองแตกเสียชีวิตได้ สมัยก่อนเรียกโรคนี้ว่าครรภ์เป็นพิษ

ส่วนลูกในครรภ์ ถ้าแม่มีอาการรุนแรงมาก เช่น ชัก เด็กมักตายในท้อง หรือถ้าแม่มีอาการนานๆ จะมีผลกับการเจริญเติบโตของลูกในครรภ์ เด็กอาจตัวเล็ก แต่ถ้าควบคุมอาการได้ดี ส่วนมากเด็กจะเจริญเติบโตได้ปกติ ไม่มีความพิการใดๆ
สาเหตุ : ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่จะพบบ่อยๆ ในแม่บางกลุ่ม เช่น แม่ท้องที่อายุน้อยๆ หรืออายุมากๆ กลุ่มนี้มีปัญหาทั้งคู่ แต่ในคนวัยธรรมดา เช่น 20 กว่าๆ -30 ปี เจอน้อย และมักเจอในท้องแรก ท้องหลังไม่ค่อยเจอ เจอได้บ่อยในครรภ์แฝด คนเป็นเบาหวาน หรือมีประวัติคนในครอบครัวที่แม่เคยโรคนี้ขณะตั้งครรภ์ จึงสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นโรคที่เกี่ยวกับกรรมพันธุ์ หรือเกี่ยวกับอาหารการกิน หรืออาจจะเกี่ยวกับฮอร์โมนที่สร้างจากรก หรือจากตัวเด็กที่ทำให้ความดันขึ้น เพราะสังเกตว่าเมื่อมีการคลอดเสร็จแล้วส่วนใหญ่แม่ก็จะหายเป็นปกติ
การรักษา : ในรายที่เป็นรุนแรงอาจต้องยุติการตั้งครรภ์ แต่เจอได้น้อย ส่วนมากจะรักษาได้ หมอจะมียาป้องกันการชัก ยาลดความดัน สามารถประคับประคองให้เด็กโตพอ แล้วก็ผ่าตัดคลอด หรือให้ยาเร่งคลอดได้ ที่ควบคุมไม่ได้มีน้อย และสาเหตุที่ควบคุมไม่ได้ส่วนมากมักเกิดจากมาหาหมอตอนที่อาการเป็นมากแล้ว เช่น คนไข้ที่ไม่เคยรู้ตัวว่าเป็น ไม่มาฝากครรภ์เลย มาฝากครรภ์ช้า หรือบางกรณีมาถึงมือหมอก็ชักมาเสียแล้ว
การป้องกัน : ควรจะตั้งครรภ์ในอายุที่เหมาะสม รีบไปฝากครรภ์ หมอจะได้ตรวจเจอตั้งแต่แรก และให้การรักษาได้ทันท่วงที
7.โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์

มีแม่ 2 กลุ่ม คือกลุ่มหนึ่งเป็นเบาหวานอยู่แล้วก่อนที่จะท้อง กับแม่อีกกลุ่มหนึ่งซึ่งท้องแล้วจึงเป็นเบาหวาน กลุ่มหลังนี้พบว่าการตั้งครรภ์กระตุ้นให้เป็นโรคนี้ เชื่อว่าเด็กหรือรกที่อยู่ในมดลูกสามารถสร้างฮอร์โมนหรือสารเคมีที่ไปยับยั้งการทำงานของอินซูลินที่ทำหน้าที่ควบคุมน้ำตาลในเลือด ทำให้แม่เป็นเบาหวาน ซึ่งแม่ที่คุมน้ำตาลได้ไม่ดีอาจชักหรือช็อก อาจแท้งหรือคลอดก่อนกำหนดได้
สาเหตุ : ยังไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัด แต่มักพบในคนที่ท้องแรก แม่อายุมากๆ แม่ที่อ้วนมากๆ มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน หรือว่าตัวแม่เองมีโรคอื่น เช่น ความดันโลหิตสูง ซึ่งเราเรียกพวกนี้ว่ากลุ่มเสี่ยง
การรักษา : ถ้าตรวจพบต้องรีบรักษา ไม่อย่างนั้นจะมีอาการทั้งแม่ทั้งลูก คุณหมอจะแนะนำวิธีการดูแลตนเอง เช่น คุมอาหาร ถ้าคุมอาหารก็เอาไม่อยู่ อาจต้องฉีดอินซูลินช่วย ระหว่างที่ท้องก็ต้องคอยตรวจระดับน้ำตาลแม่อย่างสม่ำเสมอ ต้องคอยเช็คว่ามีปัญหาแทรกซ้อนอื่นไหม
การป้องกัน : ถ้าแม่เป็นกลุ่มเสี่ยงเวลาท้องต้องรีบไปฝากครรภ์ ถ้าตรวจเจอจะได้รักษาและปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง
8. การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
สาเหตุ : เมื่อตั้งครรภ์ มดลูกจะขยายตัวไปดันกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะได้ไม่ดี มีการคั่งค้างนาน เกิดการติดเชื้อได้ง่าย
การรักษา : นำปัสสาวะไปเพาะเชื้อ ว่าติดเชื้ออะไร แล้วก็ให้ยาฆ่าเชื้อ โดยยาที่ไม่มีผลต่อลูกในครรภ์

การป้องกัน อย่ากลั้นปัสสาวะบ่อยๆ ดื่มน้ำมากๆ เพื่อให้มีการขับปัสสาวะได้ดี ไม่มีการคั่งค้าง เป็นการชำระล้างทำความสะอาดระบบทางเดินปัสสาวะ
9.โรคโลหิตจาง
สาเหตุ : มี 2 ชนิด คือโรคเลือดจางจากการขาดธาตุเหล็ก กับโรคเลือดจางจากโรคเลือดธาลัสซีเมีย
การรักษา : โรคเลือดจางจากการขาดธาตุเหล็ก แก้ไขได้ไม่ยาก โดยรับทานอาหารที่มีธาตุเหล็กมากๆ เช่น ตับบด ผักใบเขียว หรือกินวิตามินเสริมธาตุเหล็ก ส่วนโรคโลหิตจางจากโรคเลือดจางธาลัสซีเมีย เป็นโรคทางกรรมพันธุ์ แต่ลูกเป็นโรคนี้ และมีอาการมากก็อาจจะทำให้ลูกตายในท้อง หรือลูกบวมน้ำในท้องได้
การป้องกัน : ก่อนตั้งครรภ์ควรมีการตรวจเช็คร่างกายว่ามีโลหิตจางหรือไม่ ถ้าเป็นโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก ควรรับประทานอาหารเสริมให้ร่างกายเป็นปกติก่อนจึงตั้งครรภ์ ส่วนโรคโลหิตจางจากโรคเลือดธาลัสซีเมีย สามารถตรวจคัดกรองได้ว่าลูกจะเสี่ยงไหม โดยการตรวจเลือดของพ่อแม่ว่าเป็นพาหะหรือไม่
10.ไทรอยด์เป็นพิษ

ต่อมไทรอยด์ ทำหน้าที่สร้างสารไทรอกซิน ซึ่งกระตุ้นให้ร่างกายทำงาน ร่างกายอบอุ่น ทำให้กระฉับกระเฉง แต่ในบางคนต่อมนี้ผลิตสารออกมามากกว่าปกติ ทำให้มือสั่น ใจสั่น ร่างกายสูญเสียพลังงานมาก เหงื่อออกมาก หงุดหงิด ก่อนท้องอาจจะเป็นหรือไม่เป็นก็ได้ แต่ว่าการตั้งครรภ์ไม่ได้กระตุ้นให้เป็นโรคไทรอยด์เป็นพิษ แม่ที่เป็นโรคนี้แล้วรักษาไม่ดีจะทำให้ลูกเกิดปัญหาตัวเล็ก ไม่เข็งแรงได้ คนที่เป็นรุนแรงอาจทำให้แท้ง หรือบางคนแม่อาจจะช็อกเป็นอันตรายได้
การรักษา : หมอจะให้ยาที่ไปกดการทำงานของไทรอกซิน ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปกติ การตั้งครรภ์ก็จะเป็นดำเนินไปตามปกติ โดยยาที่ให้ไม่มีผลกับเด็กในครรภ์
การป้องกัน : เนื่องจากโรคนี้ยังไม่รู้สาเหตุ ดังนั้นเวลาตั้งครรภ์ต้องรีบไปฝากครรภ์ เพื่อที่หมอจะได้ให้ยาคุมระดับอาการ ได้โดยไม่ทำให้การตั้งครรภ์มีปัญหา

เป็นอย่างไรบ้างคะ อ่านแล้วตกใจกลัวบ้างไหมกับตัวเลขของโรงพยาบาลศิริราช ซึ่งคุณหมอวิทยา ได้อธิบายว่านี่ไม่ใช่ตัวเลขที่เป็นตัวแทนของทั้งประเทศ เพราะโรงพยาบาลศิริราชเป็นศูนย์กลางใหญ่ ดังนั้นกรณียากๆ จึงอาจมารวมอยู่ที่นี่มาก และในเมืองไทยยังไม่มีการรวบรวมสถิติเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ
คุณหมอวิทยา ยังได้กล่าวทิ้งท้ายก่อนจากว่า ความจริงแล้วปัญหาต่างๆ เหล่านี้ไม่ได้พบบ่อยๆ เพราะการตั้งครรภ์เป็นเรื่องปกติของคนเรา ส่วนมากแล้วการตั้งครรภ์และการคลอดจะแฮปปี้เอ็นดิ้งถึงร้อยละ 90 แต่จะมีแม่บางกลุ่มเท่านั้นที่เสี่ยงต่อการเกิดปัญหาบางอย่าง

“อยากจะแนะนำคุณแม่ว่า อย่าไปตกอกตกใจอะไรมาก ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่เสี่ยง หรือไม่เสี่ยงก็ตาม ทุกอย่างในขณะนี้เราสามารถให้การดูแลรักษาได้ เพียงแต่ว่าอยากจะให้ใส่ใจดูแลตัวเอง ก่อนที่จะตั้งครรภ์ตรวจเช็คร่างกาย ถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็ตั้งครรภ์ได้ ถ้ามีปัญหาก็ทำการรักษาให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยมาตั้งครรภ์ มีคนที่ต้องถูกห้ามตั้งครรภ์เลยน้อยมาก ขอเตือนว่าอย่าปล่อยให้มีการตั้งครรภ์โดยที่มารู้ว่ามีปัญหาเมื่อหลังตั้งครรภ์ไปแล้ว เพราะจะทำให้การดูแลรักษายากขึ้นไปอีก เนื่องจากวิธีการรักษาหลายอย่างสำหรับคนท้อง มีวิธีคิดต่างจากการรักษาในคนไม่ท้องอย่างสิ้นเชิง เพราะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของลูกในท้องอีกชีวิตหนึ่ง”

ดังนั้นคำตอบสุดท้าย ซึ่งถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดก็คือ วางแผนก่อนตั้งครรภ์ การตั้งครรภ์ที่มีการวางแผน และอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ จะทำให้มีโอกาสเกิดปัญหาใหญ่ๆ ได้น้อยมากค่ะ

วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ฉันมีโรคประจำตัว ..ฉันท้อง

สำหรับคนที่สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ดี การท้องก็คงจะเป็นไปอย่างราบรื่น แต่ไม่ใช่เรา เพราะเรามีโรคประจำตัวคือโรคไธรอยด์ เราขอเรียกว่าไธรอยด์แบบขาด(hypothyroid)คือร่างกายสร้างฮอร์โมนไธรอยด์น้อยกว่าคนปกติ ส่วนอีกแบบที่คนเป็นกันมากและเราเคยเป็นคือ ไธรอยด์แบบเกิน(hyperthyroid)คือร่างกายสร้างฮอร์โมนไธรอยด์มากกว่าคนปกติ
บางคนอาจสงสัย ทำไมเราเป็นทั้งสองแบบ ท้งขาดทั้งเกินเลยรึ เริ่มจากเราเป็น hyperthyroidก่อน และรับการักษาโดยการผ่าตัด บังเอิญหมอตัดออกเยอะไปหน่อย เลยกลายเป็นขาด ต้องกินฮอร์โมนเสริมตลอดชีวิต แถมหมอยังเฉือนต่อมพาราไธรอยด์(parathyroid)ทำให้เราเกิดอาการขาดแคลเซียม เป็นตะคริวบ่อยๆ
ซึ่งเราก็รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง วันหนึ่งหมอที่รักษาไธรอยด์ถามว่า "มีแฟนไหม บอกแฟนนะว่าไม่ควรมีลูกเพราะจะเสี่ยงปัญญาอ่อน ไม่สมประกอบ ฯลฯ" เรางี้ช็อค อึ้ง น้ำตาไหล ..แรงอ่ะหมอ ไม่ให้ความหวังกันเลบ (แต่วันนี้อยากพาลูกชายที่น่ารักฉลาดแสนรู้...ไปกราบหมอท่านั้นจริงๆเลย)
เพราะการให้ข้อมูลของหมอที่รักษาเราอยู่มันฝังใจ เมื่อเราท้องย่อมจะกังวลมากๆ แล้วเป็นคนที่ถ้ากังวลหรือเรื่องที่คิดยังไม่ลุกระจ่างแจ้ง จะพูดๆๆๆๆๆๆกับทุกคนที่พูดได้ เพื่อนหลายๆคนเห็นเรากังวลก็ไปสืบเรื่องนี้เพื่อมาคลายกังวลเรา เช่น คนข้างบ้านที่เป็นไธรอยด์เป็นพิษมีลูกตั้งสองคนเรียนเก่งด้วย นอกจากนี้มีพี่คนนึงเห็นรอยแผลเป็นจากการผ่าตัดของเรา เขาเองเป็นอยู่ก็มาทักได้พูดคุยซึ่งแกเองก็มีลูกฉลาดแข็งแรงดี ฯลฯ เพราะฉะนั้นจากขอมูลที่ได้เจอของเราจึงแตกต่างจากข้อมูลของแพทย์(คือคนที่ลูกเค้าเป็นอย่างหมอให้ข้อมูลเค้าอาจไม่อยากโชว์ลูกเค้าก็ได้เนอะ)
ของเราที่กังวลคือเรากินฮอร์โมนเสิรม ก็กลัวว่าจะมีผลต่อลูกในท้อง ความกังวลนี้ทำให้เราถามถึงผลของยากับลูกทุกครั้งที่หมอนัดตรวจครรภ์ ซึ่งหมอก็ยิ้มแล้วพูดว่า"ไม่มีปัญหา ไม่ต้องกังวล" ทุกครั้งแล้วไม่อธิบายเพิ่ม เพราะฉะนั้นเราจึงไม่กระจ่าง ยิ่งพอลูกคลอด กินนมเราด้วยเราก็ยังกังวล จนได้ถามหมอที่เป็นหมอเด็กอีกครั้ง(หมอคนนี้ก็ถามแกหลายครั้งจนแกต้องนั่งอธิบาย) หมอบอกว่าฮอร์โมนในช่วงตั้งครรภ์ลูกกับแม่อาจเกี่ยวกันบ้าง แต่เมื่อเขาคลอดมาเขาจะปรับเป็นของเขาเอง อย่างนี้ค่อยสว่างขึ้นมาหน่อย เราคลายกังวลเมื่อลูกเลิกกินนมเรานั่นแล คราวหน้าจะเรื่องโรคไธรอยด์มาฝากค่ะ

วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ท้องแล้วจ้า

ถ้าจะถามถึงอาการที่แสดงว่าท้องเนี่ย หลายๆคนต้องบอกว่าอ้วก อาเจียน แบบนางเอกหนังไทย นั่นแหละของชัวร์ (โถแม่คุณ แค่ประจำเดือนขาดก็น่าจะขนลุกได้แล้ว ไม่ต้องรอให้อ้วกหรอก) มามะ มาดูอาการกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง เอามาจากเวปDumex นะคะ
หากคุณสงสัยว่ากำลังตั้งครรภ์ ลองตรวจสอบสัญญาณเริ่มต้นได้ที่นี่ค่ะ
1ประจำเดือนขาด
นับเป็นสัญญาณเริ่มต้นที่ชัดเจนที่สุด หากปกติแล้วประจำเดือนของคุณมักมาตรงเวลาควรลองทดสอบ การตั้งครรภ์ได้แล้ว (ของเรามาไม่ปกติเป็นปกติเลยไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ.. งงก็อ่านใหม่)
แพ้ท้อง สัญญาณบ่งบอกว่าคุณตั้งครรภ์ (นี่ไง นางเอ๊กนางเอก)
อาการแพ้ท้อง มักแตกต่างกันไปในแต่ละคน คุณแม่บางท่าน อาจมีอาการคลื่นไส้หรือรู้สึกไม่สบาย โดยมักจะเกิดขึ้นหลังจากตั้งครรภ์ได้สัก 2-3 สัปดาห์ แต่บางท่านก็มีอาการเพียงแค่ไม่กี่วันหลังตั้งครรภ์ ถ้าโชคดี คุณอาจไม่มีอาการแพ้ท้องเลยก็ได้ และการแพ้ท้องอาจเกิดขึ้นเวลาใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นช่วงเช้าเสมอไป
ปัสสาวะบ่อยขึ้น (ไม่ได้สังเกตอาการนี้แฮะ)
ถ้าคุณสังเกตเห็นว่าตัวเองเข้าห้องน้ำบ่อยขึ้น นี่อาจเป็นสัญญาณที่น่ายินดีว่าคุณกำลังเริ่มตั้งครรภ์แล้ว ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในช่วง 3เดือนแรกจะทำให้คุณปวดปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ
รู้สึกเหนื่อยง่าย
สัญญาณเริ่มต้นของการตั้งครรภ์ที่พบเห็นได้บ่อยอีกประการหนึ่งก็คือความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยหมดเรี่ยวแรง ซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากการเพิ่มขึ้นของระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนในร่างกายดังนั้นหากคุณรู้สึกเหนื่อยง่ายโดยไม่มีสาเหตุลองตรวจสอบดูว่าเป็นเพราะคุณกำลังตั้งครรภ์หรือเปล่า
รสชาติแปลกๆ ในปาก
คุณแม่บางท่านเล่าว่าครั้งแรกที่ตั้งครรภ์จะรู้สึกขมเฝื่อนหรือมีรสชาติแปลกๆในปากขณะที่คุณแม่อีกหลายท่านก็รู้สึกเหม็นหรือทนไม่ได้กับอาหารหรือเครื่องดื่มที่เคยทานอยู่ทุกวันเช่นชาหรือกาแฟ
การเปลี่ยนแปลงของเต้านม (อันนี้ของเราเด่นชัดที่สุด ที่เราสังเกตเห็น.. อ้าว ไม่ค่อยก้มมองกันเหรอ)
ผิวหนังบริเวณรอบเต้านมหรือที่เรียกว่าลานนมจะมีสีคล้ำขึ้นและมีขนาดใหญ่ขึ้น
มีเลือดออกโดยไม่คาดคิดหรือเป็นตะคริว
ไข่ที่ปฏิสนธิแล้วจะเดินทางจากท่อนำไข่เพื่อไปฝังตัวที่ผนังมดลูกและรอการเติบโต กระบวนการนี้เรียกว่า การฝังตัวของไข่ที่ผสมแล้ว และมักจะเกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ 3 และ 4 ซึ่งอาจส่งผลข้างเคียง เช่น การเป็นตะคริว และมีเลือดออกกะปริดกะปรอย โดยเลือดอาจมีสีแดงสด สีชมพู หรือสีน้ำตาล
ตรวจสอบให้แน่ใจด้วยการทดสอบการตั้งครรภ์
แน่นอนว่าหนทางเดียวที่จะแน่ใจว่าคุณตั้งครรภ์แล้วก็คือการทดสอบการตั้งครรภ์โดยผลทดสอบนับจากวันแรกที่ประจำเดือนขาดไปหากเป็นผลบวกก็มั่นใจได้ว่าตั้งครรภ์แน่นอน
มีเรื่องขำๆคือเมื่อทบสอบด้วยตัวเองรู้ว่าท้องเราเลยไปหาหมอจะไปฝากท้อง หมอตรวจแล้วว่าท้องแต่ให้มาฝากในนัดครั้งต่อไป พอถึงวัน หมอก็จับultra sound หมอพูดว่า "ไม่เห็นมีเลย ไปตรวจที่ไหนมาเค้าว่าท้องน่ะ" แป่ว เหงื่อแตกซิกเลยเรา "ก็ที่นี่แหละค่ะ ตรวจกับหมอเลย" "อ้อ เจอแล้วอยู่นี่เอง" (ฮึม...หมอ) แล้วเราก็ได้เห็นเจ้าโดเรม่อน(ตั้งชื่อนี้เพราะมือเท้ายังเป็นปุ่มๆอยุ่เลย) เสียดายไม่ได้ให้หมอปริ้นท์ภาพไว้ให้

วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

100คำพูดรุนแรง

ต่อจากบทที่แล้ว นี่คือสิ่งที่เราอ่านเจอแล้วโดนใจ (บทความจากหนังสือพิมพ์ จำชื่อไม่ได้ พ.ศ.2546 ยังไม่แต่งงานเลยค่ะ) ตัดเก็บไว้อ่านตอนมีลูก ข้อความยังทันสมัย สอนคนเป็นพ่อแม่ได้ทุกยุคทุกสมัย เอามาแบ่งปันค่ะ
100 คำพูดรุนแรง ก่อความรู้สึกไม่ดี จากผลงานวิจัยเรื่อง “การสร้างคุณค่าในกระบวนการเรียนรู้ชุมชน เพื่อจัดการปัญหายาเสพติดในกลุ่มเด็กและเยาวชน” โดย รศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับและคณะ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของ คำพูด การสื่อสารในสิ่งที่ไม่ได้คิดไว้ก่อนมีผลต่อผู้ฟังอย่างมากโดยเฉพาะวัยรุ่น ดังนั้นพ่อแม่ควรฟังลูกให้มาก บ่นให้น้อยลง อยู่กับเขาอย่างใจเย็น พูดคุยด้วยการดูจังหวะที่เหมาะสม
คำพูดรุนแรงที่จะสร้างความรู้สึกไม่ดีให้กับลูก ได้แก่ พูดคำหยาบ คำไม่สุภาพ การด่าทอ พูดเสียงดังโหวกเหวก พูดจาแดกดัน ไม่ยอมรับฟังเหตุผล จำแนกเป็นประเภท ดังนี้
1 ลักษณะคำพูดที่รุนแรง : รู้อย่างนี้เอาขี้เถ้ายัดปากตั้งแต่เด็ก(สมัยนี้มีแต่แก๊สอ่ะ), ไม่มีความเกรงใจ, ผลาญเงินเท่าไหร่ผลาญไปเลย, ไม่รู้ว่าลับหลังเรามันจะขนาดไหน, คะแนนห่วยแตก
2 พูดดุด่าด้วยอารมณ์ที่รุนแรง : โตเป็นความ หมาเลียตูดไม่ถึงยังทำอย่างนี้อีก, ไม่ได้เรื่อง, มึงมีปัญหากับกูรึเปล่า(พูดกะลูกรึนี่), โง่อวดฉลาด. ไอ้ลูกนอกคอก, เถียงคำไม่ตกฟาก, เลี้ยงเสียข้าวสุก, เกิดมาทำไม, ฉันยังเป็นแม่แกอยู่นะ
3.พูดตักเตือน ว่ากล่าว : หยุดพูดได้แล้ว, เป็นลูกผู้หญิงไม่เคยช่วยงานพ่อแม่เลย. อย่าเสียมารยาทสิ, คุยอะไรโทรศัพย์บอกให้วาง, ซุ่มซ่าม
4 พูดห้าม ออกคำสั่ง: อย่าเพิ่งมากวน, นี่ อย่าส่งเสียงดังได้ไหม, ไม่ต้องไป, เป็นเด็กเป็นเล็ก เรื่องผู้ใหญ่อย่ายุ่ง, อย่าทำอย่างนั้นสิ, อย่าออกไปไหนนะ, อย่าทำอย่างนี้อีก
5 คำพูดไม่สนับสนุน ไม่ให้กำลังใจ : มึงจะทำไปทำไม ถ้ารู้ว่าทำไม่สำเร็จ(โห แรง),แม่ผิดหวังกับลูกมา ต่อไปแม่จะไม่สนใจลูก, ความจนไม่สามารถทำให้เรามีความรู้ได้
6 คำพูดขับไล่ไสส่ง : ไปเอาเงินกับเพื่อนแกโน่น, ตัดลูกตัดแม่กันไปเลย
7 คำพูดประณาม เหยียดหยาม : สอนอะไรไม่จำ, พูดจนปากเปียกปากแฉะ, ฉันจะดูน้ำหน้าแกว่าจะไปรอดไหม
8 พูดประชดประชัน: ให้แต่เพื่อนนะ, เอาเพื่อนเป็นพ่อแม่เลยสิ
9 ลักษณะคำพูดอื่นๆ : อยากอยู่คนเดียว, พอเราแก่ลูกคงไม่เลี้ยงเราหรอก
คำพูดเหล่านี้จะส่งผลต่อจิตใจ กระทบความรู้สึกของผู้ฟัง โดยเฉพาะคนเป็นลูก พ่อแม่ควรระวังอย่างยิ่ง
(เคยโดนไปบ้างไหม ถ้าเคยจะรู้ว่ามันเจ็บ เพราะฉะนั้นต้องไม่ส่งต่อให้ลูกเรานะ)
ส่วนพฤติกรรมที่พ่อแม่กระทำแล้วเด็กเกิดความรู้สึกดี ได้แก่ การโอบไหล่ กอดจูบ ให้คำปรึกษา พาไปเที่ยว รองลงมาได้แก่ การให้ของขวัญ กินข้าวนอกบ้าน ถามสารทุกข์สุกดิบอย่างสม่ำเสมอ แสดงความดีใจเมื่อเด็กประสบความสำเร็จ อบรมสั่งสอน มีความรักความอบอุ่นในครอบครัว
(เคยได้รับบ้างไหม ถ้าเคยจะรู้ว่ามันอิ่มเอมจนถึงทุกวันนี้..)

วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ปรัชญา(ส่วนตัว)ในการเลี้ยงลูก

เริ่มเรื่องลูกกันเสียที สมมุติว่าย้อนไปยังอดีตที่ยังไม่มีลูก สิ่งที่คนเป็นลูกอย่างเราคิดอย่างเดียวคือ สิ่งไหนที่พ่อแม่ทำกะเราแล้วเราไม่ชอบ เราว่ามันไม่ถูก ไม่ควรทำ(กับลูก) เราจะไม่ทำ เช่น การดุด่าด้วยคำที่ไม่สุภาพ ใช้เสียงดัง ฯลฯ อันไหนที่พ่อแม่ทำกับเราแล้วเราชอบ เราจะทำ เช่น การที่พ่อเล่านิทานให้ฟังก่อนนอน เป็นต้น
ในที่นี้ถ้าที่ลูกไม่ชอบคือเรื่องการมีระเบียบวินัยต่างๆที่ควรจู้จี้ สิ่งอันตรายที่ควรถูกห้ามไม่ให้ทำ ยังจำเป็นต้องมีเพราะลูกจะขอบคุณเราในภายหลัง แค่นี้เองปรัชญาการเลี้ยงลูกของเรา ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยก็ต้องไปดูที่นิสัยลูกเราอีกว่าเป็นอย่างไร เพราะเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกันทั้งพัฒนาการทางด้านร่างกายและจิตใจ มีหลายสิ่งที่หลอมรวมจนเป็นนิสัยของเขาขึ้นมา ไม่ว่าการเลี้ยงดู สิ่งแวดล้อม และนิสัยที่ติดมากับยีนส์ (ไม่อย่างนั้นเขาจะมีคำกล่าวที่ว่า เชื้อไม่ทิ้งแถว ลูกเสือลูกจระเข้ ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น ฯลฯ หรือ) เราเชื่ออย่างแน่นเหนียวว่า นิสัยบางอย่างของพ่อแม่หากทำเป็นประจำจนซึมลึกถึงหน่วยความจำของยีนส์ ลูกก็มีแนวโน้มที่จะมีนิสัยดังกล่าวอันนี้พูดในแง่วิทยาศาสตร์ ถ้าพูดในแง่ของหลักศาสนาพุทธของเราก็คือกรรม(การกระทำ)ที่พ่อแม่ทำจะตกไปถึงลูกนั่นเอง เมื่อเติบใหญ่ สิ่งแวดล้อมและการเลี้ยงดูอาจจะเปลี่ยนพฤติกรรมแต่กำเนิดได้ก็ขึ้นอยู่กับความเข้มงวดของการเลี้ยงดู
ณ เวลาที่เรายังไม่ได้เป็นแม่ เราพยายามครุ่นคิดเสมอว่าเรายังไม่ดีพอและถ้ามีลูกเราจะเลี้ยงลูกให้ดีกว่าที่เราเป็น อย่างเต็มความสามารถ หากเมื่อลูกเติบโตขึ้นไม่เป็นดังที่คาดหวังเราก็จะใจกว้างยกให้เป็นกรรม(การกระทำ)ของเจ้าลูกเอง ในเมื่อป้อนแต่ข้อมูลดีๆเข้าไป มีแต่สิ่งดีๆอยู่รอบตัวยังจะไปเลือกทำสิ่งไม่ดี ถึงวันนั้นเราก็.....จะแล้วแต่สูเต๊อะ ล่ะก๊า
ไม่ใช่ตัดหางปล่อยวัด ยังจะเป็นที่พึ่งและกำลังใจให้ลูกเสมอ เพียงแต่จะไม่ทุกข์เพราะลูก(หรือปลงให้ได้มากทีสุดว่ากรรมใครกรรมมัน)

Google adsense+กาลามสูตร

จากบทความแรก..ขอแทรกเรื่องลูกด้วยเรื่องนี้ก่อน
เราแนะนำตัวข้อหนึ่งว่าอยากทำ google adsense คนที่รู้จัก(อาจรู้มากกว่าเราระดับพระกาฬ)ก็ข้ามไปเลยนะจ๊ะ
คนที่สงสัยใครรู้จะอ่านต่อก็ต้องขอบอกว่า เราเองก็ยังรู้แค่ทฤษฎี การปฏิบัติก็ยังเพิ่งเริ่มต้น ยังไม่เห็นผลของการทดลองเลยไม่ค่อยกล้าอวดอ้าง เอาเป็นว่าเท่าที่รู้มา google adsense เป็นการหารายได้ทางอินเตอร์เน็ตอย่างหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับเรา ทีนี้ถ้าใครสนใจขึ้นมาก็หาข้อมูลได้มากมายในอินเตอร์เน็ตเอานะจ๊ะ ลางเนื้อชอบลางยา บางคนอาจไม่ชอบสไตล์ที่เราเขียนก็เป็นได้ ไปหาอ่านไอ้ที่เป๊ะๆดูเอง เล่าสาเหตุที่สนใจ google adsense ดีกว่า เริ่มต้นมาจากเพื่อนในface book เอารูปบัญชีรายได้จาก google adsense ของเขา รายได้หลักพันดอลล่าร์(ดิฉันก็ตาลุกสิคะ) อยากรู้ว่าเขาทำยังไง เช่นเดียวกับเพื่อนคนอื่นๆ แต่เขาก้บอกให้ไปหาหนังสือเกี่ยวกับ google adsense มาอ่านดู(แหม! ทำให้อยากแล้วจากไป..เคือง) เราก็เริ่มเลยเข้าหาอากู๋ google serch หาเลย ..เพียบ อ่านวิธีการเหมือนจะง่าย..แต่ยังงงๆ เจอเวปนึงแนะนำหนังสือเกี่ยวกับgoogle adsense ที่เขาทำแล้วได้เงินจริง เลยสั่งมาอ่านดู แต่หนังสือไม่ค่อยอัพเดตเลย ยังค้างคาใจ ยัง งง งง งง(ก็คนมันเคยเลยแต่ face book ,hi5, hotmail ไม่เคยมี blog มีweb กะเค้าเลยนี่) ในเมื่อยังไม่กระจ่างก็หาหนังสือได้มาอีก 2เล่ม มีเล่มนึงเขียนสนุกอ่านง่าย อีกเล่มก็มีภาพให้ดูเยอะ เลยดีขึ้น(เลยมีหน้ามาทำ blog นี้ขึ้นมา)
ถ้าอ่านบทความนี้แล้วเริ่มจุดประกายใครขึ้นก็แนะนำว่าหาข้อมูลก่อนนะคะ เรายังไม่แนะนำใครเพราะเรายังไม่สำเร็จจึงไม่อาจพูดบอกใครได้เต็มปากเต็มคำ แต่เท่ที่จะแนะนำได้คือ ข้อมูลที่หาในเน็ตเป็นข้อมูลเก่าๆ ถ้าจะซื้อหนังสือก็พลิกดูปีที่พิมพ์ด้วยก็ดีคะ แค่ 2-3 ปีข้อมูลก็เปลี่ยนไปเยอะมากแล้ว ส่วนตัวถ้าต้องการข้อมูลขั้นต้นหรืออยากรู้เฉยๆหาทางอินเตอร์เน็ตดีค่ะ เร็วดี แต่ถ้าเป็นเรื่องที่สนใจมากๆและต้องการคู่มือที่เปิดอ่านเมื่อไหร่ก็ได้ก็ต้องหนังสือค่ะ อีกอย่างเท่าที่สังเกตคนที่จะเขียนหนังสือมาเล่าให้เราอ่านอย่างน้อยๆต้องมีรูป check จาก google adsense มาอวดสักรูปเป็นหลักฐาน(ไม่งั้นใครจะเชื่อ) ลงทุนสักนิดถ้าคิดจะเอาจริง หนังสือซุบซิบดาราเล่มเกือบร้อยยังซื้อได้ หนังสือเอามาเป็นคู่มือหาเงินเกินร้อยมาไม่กี่บาทเอง จิ๊บๆ
ไม่เขียนเชียร์หนังสือใคร ไม่บอกชื่อเวปไหนทั้งสิ้น หากสนใจ ก็คำนี้เลย Google adsense แล้วมาเดินทางไปพร้อมกัน
แถมบทความเตือนสติ(เดียวจะไม่เข้า concept สนุกแบบมีสาระ)
กาลามสูตร
กาลามสูตรกังขานิยฐาน 10 หมายถึง วิธีปฎิบัติในเรื่องที่ควรสงสัย หรือหลักความเชื่อ ที่ตรัสไว้ในกาลามสูตร
1. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา (มา อนุสฺสเวน)
2. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสีบๆกันมา (มา ปรมฺปราย)
3. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ (มา อิติกิราย)
4. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์ (มา ปิฏกสมฺปทาเนน)
5. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก (มา ตกฺกเหตุ)
6. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะอนุมาน (มา นยเหตุ)
7. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล (มา อาการปริวิตกฺเกน)
8. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว (มา ทิฏฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา)
9. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้ (มา ภพฺพรูปตาย)
10. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา (มา สมโณ โน ครูติ)
ที่มา Bhudda4u

วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

oh look! โอ๋ look โอ๋-ลูก

แนะนำตัว(บล็อก)

   เราไม่ใช่นักวิชาการด้านใดๆ เป็นแค่แม่บ้านที่ครุ่นคิดว่า
1.อยากทำgoogle adsenseแต่ไม่รู้จะทำเวปอะไร เวปขายของ..หันมองไปรอบตัวก็ยังนึกไม่ออกว่าจะขายอะไร(เค้าขายกันหมดแล้ว) ที่บ้านทำสวนผัก จะขายผักทางเน็ตก็เกรงใจคนส่งไปรษณีย์
2.อยากทำเวปที่ตัวเองชอบและสนใจ  จะได้ไม่เบื่อ  ..ก็ชอบหลายเรื่อง สนใจหลายอย่างเหลือเกิน แต่ที่สนใจหาข้อมูลมากทีสุดและเป็นระยะเวลาต่อเนื่องยาวนาน ก็น่าจะเป็นเรื่อง "ลูก"
3.อยากเขียนเรื่องที่มีสาระแบบสนุกๆ(เอาแบบว่าไม่ทันรู้ตัวว่าได้ความรู้เลยทีเดียวเชียว) ให้คนที่เข้ามาแวะอ่านรู้สึกมีความสุข สนุก และชอบเรื่องที่เราเขียน
4.อยากเผยแพร่มุมมองของตัวเองแบบใจกว้าง เพราะบางเรื่องที่เราคิดหรือรู้มาอาจไม่ถูกต้องเสียที่เดียว ถ้ามีคนที่สนใจเรื่องเดียวกับเรา หรือมีความรู้มาช่วยแชร์ เราก็จะได้เอาไปปรับใช้กับลูกเราด้วย
   ได้ประโยชน์ครบรึยังหนอ..