วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2555

เทคนิคพ่อแม่ญี่ปุ่น เมื่อ"รัก"สร้างอัจฉริยะได้

คุณมายูมิ ชิจิดะ


กระแสการอบรมเลี้ยงดู "อนาคตของชาติ" หรืออนาคตของพ่อแม่ให้กลายเป็น "เด็กอัจฉริยะ" ได้ขยายวงกว้างไปทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทยที่พ่อแม่ต่างมองหาแนวทางดี ๆ เข้ามาช่วยขับอัจฉริยภาพของเด็กให้ปรากฏ

แต่สิ่งหนึ่งที่อาจหลงลืมกันไป และเป็นวิธีง่าย ๆ ในการสร้างลูกให้เก่ง และดี โดยไม่ต้องไปลงเรียนพิเศษคอร์สละหลายสตางค์ก็คือ "ความรัก" จากพ่อแม่นั่นเอง

โดยในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า เป็นประเทศที่มีการศึกษาวิจัย ตลอดจนพัฒนาศักยภาพของเด็กอย่างเต็มที่ประเทศหนึ่งของโลกก็มีการค้นพบว่า การเลี้ยงลูกให้ฉลาดนั้น ประกอบด้วย 3 แนวทางง่าย ๆ เท่านั้น ได้แก่ "การชื่นชม การแสดงความรัก และการยอมรับในสิ่งที่เด็กเป็น"

คุณมายูมิ ชิจิดะ รองประธานสถาบันการศึกษาชิจิดะ ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการพัฒนาอัจฉริยภาพของเด็กเผยว่า "เทคนิคการเลี้ยงลูกให้ฉลาดที่พ่อแม่ชาวญี่ปุ่นใช้ก็คือ การให้ความรักกับเด็กในทางที่ถูกต้อง ประกอบด้วย 3 สิ่งได้แก่ การชื่นชม การแสดงความรัก และการยอมรับในตัวเด็ก โดยพ่อแม่สามารถแสดงความรักกับลูกได้ตั้งแต่ลูกยังแบเบาะ เพียงแค่โอบกอดลูกไว้ในอ้อมแขน ให้เขาสัมผัสถึงความอบอุ่น และหากลูกโตขึ้น ก็สามารถทำได้ด้วยการชื่นชม และการยอมรับในความสามารถของเขา"

ทั้งนี้ หากจะขยายความเทคนิคดังกล่าวให้เป็นรูปธรรมขึ้น คุณมายูมิเฉลยว่า ประกอบด้วยขั้นตอนง่าย ๆ 6 ขั้นตอนเท่านั้น ได้แก่

1.ไม่ตอกย้ำจุดอ่อนของลูก แต่ให้ความสำคัญกับจุดเด่นของลูกแทน เพราะการมองที่จุดเด่นของลูกนั้นจะทำให้เด็กเกิดความมั่นใจ และเป็นแรงผลักดันให้เขาพัฒนาความสามารถต่าง ๆ ให้ดียิ่งขึ้น หากคุณพ่อคุณแม่ทำเช่นนี้ได้ จะพบว่า จุดอ่อนของลูกนั้นจะค่อย ๆ หายไปในที่สุด

2. ขอให้เปรียบพัฒนาการของลูกเหมือนต้นไม้ ที่ ณ ปัจจุบัน เขาคือต้นอ่อนที่กำลังเจริญเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ในวันที่ลูกเป็นต้นอ่อน เขาจึงยังไม่สามารถแตกกิ่งก้านสาขา และยังไม่สามารถออกดอกออกผลให้คุณได้ ดังนั้น พ่อแม่ต้องอย่าคาดหวังว่าต้นอ่อนต้นนี้จะออกผลให้คุณชื่นชมได้ในทันที



3. พ่อแม่อย่าเป็นคนนิยมความสมบูรณ์แบบ และนำเอานิสัยนั้นมาใช้วัดความสามารถของลูก

4. ไม่เปรียบเทียบลูกกับเด็กคนอื่น ๆ เพราะเด็กแต่ละคนย่อมมีอุปนิสัย ตลอดจนความสามารถ ความถนัดที่แตกต่างกัน

5. ไม่ตั้งความสำเร็จของลูกจากการศึกษา หรือคะแนนสอบ แต่ขอให้พิจารณาจากความพยายามของเด็กเป็นอันดับแรก นอกจากนั้นแล้วพ่อแม่ยังอาจเข้ามาช่วยค้นหาจุดบกพร่อง และแก้ไขข้อผิดพลาดให้ดีขึ้นด้วย

6. พยายามทำความเข้าใจตัวตนของลูก และเอาใจใส่แก้ไขในสิ่งที่เขาควรปรับปรุง

"ข้อที่สำคัญที่สุดจาก 6 ข้อด้านบนคือ การไม่เปรียบเทียบลูกตนเองกับเด็กอื่น ๆ เพราะการเปรียบเทียบจะทำให้เด็กขาดความเป็นตัวของตัวเอง ไม่สามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่"

"ไม่เพียงเท่านั้น สิ่งที่น่ากังวลในปัจจุบันก็คือ มีพ่อแม่ที่ไม่เคยถามว่าลูกต้องการอะไร อยากเป็นอะไร พ่อแม่เป็นคนตัดสินใจเองว่าลูกควรเรียนเปียโน เรียนบัลเล่ต์ แต่เด็กไม่มีแรงจูงใจในการเรียน วิธีที่เหมาะสมกว่าคือ การเรียกลูกมาถาม ว่าลูกอยากเป็นอะไร ให้เด็กคิด แล้วพ่อแม่จึงสนับสนุนเขาในทางที่ลูกชอบ"

ทั้งนี้ คุณมายูมิได้ฝากข้อคิดถึงผู้ปกครองที่ต้องการบ่มเพาะความอัจฉริยะของเด็กด้วยว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การสร้าง "สภาพแวดล้อม" ที่เด็กจะสามารถพัฒนาความสามารถของเขาให้ถึงขีดสุดนั่นเอง

เพราะในความเป็นจริงแล้ว เด็กอัจฉริยะอย่างไอน์สไตน์ก็มีชื่อเสียงก้องโลกได้โดยไม่ต้องสมัครเรียนคอร์สพิเศษใด ๆ เพียงแค่เขามีมารดาที่ให้ความรัก และความทุ่มเทอย่างเต็มที่เท่านั้น หรือหากมองกลับมาที่เด็กอัจฉริยะหลาย ๆ คนของไทย ส่วนใหญ่แล้วต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเขาได้รับ "ความรัก" และ การ "สนับสนุน" จากคนในครอบครัว เขาถึงมีวันที่ประสบความสำเร็จที่น่าชื่นชมนั้นได้ นั่นจึงเป็นบทพิสูจน์อย่างดีว่า แท้ที่จริงแล้ว ความรักของพ่อแม่ก็คือ สิ่งที่พิเศษที่สุดที่โลกเตรียมไว้ให้สำหรับการสร้างอัจฉริยะให้เกิดขึ้นสักหนึ่งคนนั่นเอง

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 24 มกราคม 2554

วันพุธที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2555

เจาะคณิตศาสตร์ปฐมวัย พ่อแม่ทราบหรือไม่ลูก ๆ เรียนอะไรกัน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 พฤศจิกายน 2554

เมื่อเอ่ยถึงวิชาคณิตศาสตร์ ต้องยอมรับว่าพ่อแม่ชาวไทยหลายคนเคยมีอดีตอันขมขื่นกับวิชานี้ แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า คณิตศาสตร์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาความคิด ทำให้มนุษย์คิดอย่างมีเหตุผล เป็นระบบ มีแบบแผน ตลอดจนมีการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ และสามารถวิเคราะห์ปัญหาหรือสถานการณ์ได้อย่างรอบคอบ นอกจากนั้นคณิตศาสตร์ยังเป็นเครื่องมือในการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและศาสตร์อื่น ๆ อีกหลายแขนง


สำหรับเด็กปฐมวัย เป็นวัยเริ่มต้นแห่งการเรียนรู้ มีความอยากรู้อยากเห็น ช่างสังเกต ชอบเล่น และสำรวจสิ่งต่าง ๆ รอบตัว การส่งเสริมให้เด็กในวัยนี้มีความรู้ความเข้าใจ มีทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ และมีเจตคติที่ดีต่อคณิตศาสตร์ ไม่เพียงส่งผลให้เด็กประสบความสำเร็จในการเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์เท่านั้น แต่จะส่งผลต่อการเรียนรู้ในศาสตร์อื่น ๆ คณิตศาสตร์จึงมีบทบาทสำคัญทั้งในการเรียนรู้และมีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต

เด็กปฐมวัยเรียนรู้อะไรในคณิตศาสตร์

การเรียนรู้คณิตศาสตร์ระดับปฐมวัย มุ่งหวังให้เด็กทุกคนได้เตรียมความพร้อมด้านต่าง ๆ ทางคณิตศาสตร์ อันเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้คณิตศาสตร์ระดับประถมศึกษา โดยกำหนดสาระหลักที่จำเป็นสำหรับเด็ก ได้แก่ จำนวนและการดำเนินการ จำนวน การรวมกลุ่ม และการแยกกลุ่ม การวัด ความยาว น้ำหนัก ปริมาตร เงิน และเวลา เรขาคณิต ตำแหน่ง ทิศทาง ระยะทาง รูปเรขาคณิตสามมิติและรูปเรขาคณิตสองมิติ พีชคณิต แบบรูปและความสัมพันธ์ การวิเคราะห์ข้อมูลและความน่าจะเป็น การเก็บรวบรวมข้อมูลและการนำเสนอ ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ การแก้ปัญหา การให้เหตุผล การสื่อสาร การสื่อความหมายทางคณิตศาสตร์และการนำเสนอ การเชื่อมโยงความรู้ต่างๆ ทางคณิตศาสตร์ และเชื่อมโยงคณิตศาสตร์กับศาสตร์อื่นๆ และมีความคิดสร้างสรรค์

ว่าแต่ว่า คุณพ่อคุณแม่ทราบไหมคะว่าในแต่ละช่วงวัยของลูก เด็ก ๆ ควรมีความรู้ความเข้าใจในคณิตศาสตร์ในระดับใดบ้าง ทางสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ได้กำหนดคุณภาพทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยในแต่ละช่วงอายุ ว่าควรมีความซับซ้อนแตกต่างกัน ดังนี้ค่ะ

คุณภาพทางคณิตศาสตร์ของเด็กอายุ 3 ปี ควรมีความสามารถดังนี้

1) มีความรู้ ความเข้าใจและมีพัฒนาการด้านความรู้สึกเชิงจำนวน เกี่ยวกับจำนวนนับไม่เกินห้า และเข้าใจเกี่ยวกับการรวมกลุ่ม และการแยกกลุ่ม
2) มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับความยาว น้ำหนัก ปริมาตร และเวลา สามารถเปรียบเทียบ และใช้คำเกี่ยวกับการเปรียบเทียบความยาว น้ำหนัก และปริมาตร และเวลา สามารถเปรียบเทียบ และใช้คำเกี่ยวกับการเปรียบเทียบความยาว น้ำหนัก และปริมาตร สามารถบอกกิจกรรมหรือเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันที่เกิดขึ้นในช่วงเวลากลางวันและกลางคืน
3) มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับตำแหน่ง สามารถใช้คำบอกตำแหน่งของสิ่งต่าง ๆ รู้จักทรงกลม ทรงสี่เหลี่ยมมุมฉากจากสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวัน และใช้ทรงกลม ทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก สร้างสรรค์งานศิลปะ

คุณภาพทางคณิตศาสตร์ของเด็กอายุ 4 ปี ควรมีความสามารถดังนี้

1) มีความรู้ ความเข้าใจและมีพัฒนาการด้านความรู้สึกเชิงจำนวน เกี่ยวกับจำนวนนับไม่เกินสิบ และเข้าใจเกี่ยวกับการรวมกลุ่ม และการแยกกลุ่ม
2) มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับความยาว น้ำหนัก ปริมาตร และเวลา สามารถเรียงลำดับความยาว น้ำหนัก ปริมาตร และเวลา สามารถบอกกิจกรรมหรือเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเช้า เที่ยง เย็น และเรียงลำดับกิจกรรม หรือเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันตามช่วงเวลา
3) มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับตำแหน่ง สามารถใช้คำบอกตำแหน่งและแสดงของสิ่งต่าง ๆ สามารถจำแนกทรงกลม ทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก และใช้ทรงกลม ทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก กรวย ทรงกระบอกสร้างสรรค์งานศิลปะ 4) มีความรู้ ความเข้าใจ แบบรูปของรูปที่มีรูปร่าง ขนาด สี ที่สัมพันธ์กันอย่างใดอย่างหนึ่ง สามารถทำตามแบบรูปที่กำหนด



คุณภาพทางคณิตศาสตร์ของเด็กอายุ 5 ปี ควรมีความสามารถดังนี้

1) มีความรู้ ความเข้าใจและมีพัฒนาการด้านความรู้สึกเชิงจำนวน เกี่ยวกับจำนวนนับไม่เกินยี่สิบ และเข้าใจเกี่ยวกับการรวมกลุ่ม และการแยกกลุ่ม
2) มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับความยาว น้ำหนัก ปริมาตร เวลา และเงิน สามารถวัดและบอกความยาว น้ำหนัก และปริมาตร โดยใช้เครื่องมือและหน่วยที่ไม่ใช่หน่วยมาตรฐาน สามารถเรียงลำดับเรียงลำดับชื่อวันในหนึ่งสัปดาห์และบอกกิจกรรมหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อวานนี้ วันนี้ พรุ่งนี้ เข้าใจเกี่ยวกับเงิน สามารถบอกชนิดและค่าของเงินเหรียญและธนบัตร
3) มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับตำแหน่ง ทิศทางและระยะทาง สามารถใช้คำบอกตำแหน่ง ทิศทาง และระยะทาง และแสดงตำแหน่ง ทิศทาง และระยะทางของสิ่งต่าง ๆ สามารถจำแนกทรงกลม ทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก กรวย ทรงกระบอก และจำแนกรูปวงกลม รูปสามเหลี่ยม รูปสี่เหลี่ยม สามารถอธิบายการเปลี่ยนแปลงรูปเรขาคณิตสองมิติที่เกิดจากการตัด ต่อเติม พับ หรือคลี่ และสร้างสรรค์งานศิลปะจากรูปเรขาคณิตสามมิติและสองมิติ
4) มีความรู้ ความเข้าใจ แบบรูปของรูปที่มีรูปร่าง ขนาด สี ที่สัมพันธ์กันอย่างใดอย่างหนึ่ง สามารถต่อแบบรูปที่กำหนดและสร้างเพิ่มเติม
5) มีส่วนร่วมในการให้ข้อมูลและการนำเสนอข้อมูลในรูปแผนภูมิอย่างง่าย

ส่วนเทคนิคจูงใจให้เด็กๆ สนุกกับการเรียนคณิตศาสตร์อีกประการหนึ่งคือ ให้เด็กได้เรียนรู้ และค้นพบสิ่งท้าทาย ด้วยกิจกรรม และเกมที่ช่วยฝึกทักษะคณิตศาสตร์ให้เด็กได้ร่วมสนุกพร้อมสอดแทรกเนื้อหาความรู้เข้าไปนั่นเอง ซึ่งหากไม่มีในหนังสือที่โรงเรียนจัดหามาให้ ก็อาจไปหาซื้อเองได้ตามร้านหนังสือทั่วไปค่ะ

ทั้งหมดนี้อาจกล่าวได้ว่า เป็นโอกาสดีของพ่อแม่ในยุคนี้ที่ (เคยไม่ชอบคณิตศาตร์เอาเสียเลย) จะได้ลองเรียนรู้ และหากิจกรรมสนุก ๆ มาเล่นกับลูกไปพร้อม ๆ กับการศึกษาวิชาคณิตศาสตร์ ทีมงานเชื่อว่า คุณพ่อคุณแม่ที่ขยาดกับการเรียนคณิตศาสตร์ยุคก่อนมา (แบบที่มีการบ้านเป็นตั้ง ให้นั่งทำกันหัวฟู) คงมีความสุข และมีทัศนคติที่ดีในการสอนคณิตศาสตร์ลูก ๆ กันมากขึ้นค่ะ

อ้างอิงข้อมูลจาก สสวท.

หมายเหตุ : ทาง สสวท. ได้จัดทำแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้คณิตศาสตร์ปฐมวัย ตามสาระ มาตรฐาน และตัวชี้วัด รวมทั้งตัวอย่างกิจกรรมไว้อย่างละเอียดและชัดเจน เพื่อให้ครูและผู้เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวทางจัดประสบการณ์การเรียนรู้คณิตศาสตร์ปฐมวัย ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องกับกรอบมาตรฐานการเรียนรู้คณิตศาสตร์ปฐมวัย ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 และสามารถเชื่อมต่อกับสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551

ผู้สนใจสอบถามเพิ่มเติมที่นางนงลักษณ์ ศรีสุวรรณ เลขานุการคณะกรรมการกำหนดแนวทางการจัดทำคู่มือกรอบมาตรฐานการเรียนรู้คณิตศาสตร์ปฐมวัย ฯ สาขาคณิตศาสตร์ประถมศึกษา สสวท. โทร. 0-2390-4021 ต่อ 2501 อีเมล์ nsris@ipst.ac.th

วันจันทร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2555

มากระตุ้นสมองลูกให้ฉลาด (อย่างถูกวิธี) กันเถอะ

อีกบทความนึง ให้เครดิตเค้าหน่อย ASTVผู้จัดการออนไลน์( 25 กรกฎาคม 2554 )


ทุกวันนี้ ปฏิเสธได้ยากว่า หัวข้อการกระตุ้นพัฒนาการด้านสมองของลูก เป็นสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ คนให้ความสนใจกันมาก แต่ทว่าบางคนในจำนวนหลายคนนั้น ยังขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องจนนำไปสู่การกระตุ้นพัฒนาการเด็กอย่างไม่ถูกทาง

บอกเล่าได้จาก พญ.จันทร์เพ็ญ ชูประภาวรรณ นายกสมาคมนักวิจัยไทยเพื่อการพัฒนาเด็ก และครอบครัว หนึ่งในกลุ่มผู้บุกเบิกงานวิจัยเรื่องสมองเด็กไทย ที่มองว่า คุณพ่อคุณแม่จำนวนไม่น้อยเลี้ยงลูกผิดวิธี ส่งผลให้เด็กยิ่งเติบโตพัฒนาการด้านต่าง ๆ ยิ่งลดต่ำลง

"ตอนนี้เราฝึกเด็กแบบไม่ประณีต ชุ่ย ๆ แบบสำเร็จรูป บางคนเลี้ยงลูกด้วยโทรทัศน์ แต่หารู้ไม่ว่า โทรทัศน์ไปทำลายสมองส่วนหน้า ทำให้เด็กเป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือ ไม่ชอบคิด และกลายเป็นเด็กสมาธิสั้น" พญ.จันทร์เพ็ญกล่าวไว้ในงานอบรม อ่านสมอง ช่องทางสร้างเด็กฉลาด Smart Kids จัดโดยมูลนิธิหนังสือเพื่อเด็ก และบริษัทแปลน ฟอร์ คิดส์ จำกัด

สอดรับกับงานวิจัยหลาย ๆ ชิ้นที่เปรียบเทียบระดับไอคิวของเด็กที่ดูโทรทัศน์วันละ 1 ชั่วโมงกับเด็กที่ไม่ดูโทรทัศน์เลย พบว่า เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี ระดับพัฒนาการของเด็กที่ดูโทรทัศน์จะต่ำกว่าเด็กที่ไม่ดูอย่างชัดเจน

ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรใส่ใจพัฒนาการของลูก ด้วยการพูด และอ่านหนังสือกับลูกบ่อย ๆ รวมทั้งเด็กก่อน 6 ขวบควรได้สัมผัสของจริงมากกว่าการดูจากโทรทัศน์ เพราะจะเป็นพื้นฐานต่อยอดให้เด็กเข้าใจความหมายที่เป็นนามธรรมได้ดีขึ้น ที่สำคัญความอ่อนโยน ละเมียดละไมจากสัมผัส และน้ำเสียงของพ่อแม่จะเป็นแรงกระตุ้นวงจรในสมองเด็ก ทำให้ลูกเติบโตอย่างสวยงาม และมีความฉลาดทางอารมณ์


อย่างไรก็ดี พญ.จันทร์เพ็ญ มีข้อแนะนำในทางปฏิบัติให้คุณพ่อคุณแม่นำไปช่วยลูกปฐมวัย หรือก่อน 6 ขวบเพื่อกระตุ้นสมอง และพัฒนาการทางภาษาอย่างถูกวิธี ตามแนวทางดังต่อไปนี้

- คุยกับลูกอย่างสนุกสนาน ลูกต้องคุ้นเคย และได้ยินเสียงคุณพ่อคุณแม่บ่อยที่สุดเท่าที่จะบ่อยได้ บอกเขาว่า คุณคือใคร คุณกับลูกอยู่ที่ไหน กำลังทำอะไรอยู่ และอธิบายถึงสิ่งรอบตัวที่ลูกเห็น ได้ยินเสียง และสัมผัสได้ เริ่มจาก สิ่งเล็ก ๆ ใกล้ตัว ไปสู่สิ่งที่ใหญ่ขึ้น และไกลตัวออกไป รวมถึงการทักทายเด็กตั้งแต่ตื่นนอนเป็นประจำทุกวัน พร้อมกับโอบกอด หอมแก้ม หรือหยอกล้อไปด้วยจะยิ่งกระตุ้นสมองมากขึ้น


- รับฟังลูกอย่างอดทน และตั้งใจ แม้ในช่วงแรก ๆ จะยังไม่เข้าใจภาษา หรือคำพูดที่ลูกใช้ แต่เมื่อลูกรับรู้ว่ามีคนตั้งใจฟังเขา จะเป็นแรงกระตุ้นให้เขาอยากฝึกออกเสียง หรือเปล่งคำพูดใหม่ ๆ มากขึ้น และอย่าเบื่อที่จะตอบคำถามลูก เพราะการขยันตอบคำถามลูกวัยเด็กเล็กก็เพื่อกระตุ้นสมองให้เด็กเป็นคนกล้าคิด ทำให้เกิดวงจรเรียนรู้แบบถาวร

- ให้เวลาลูกตอบสนองหรือตอบคำถาม เพราะต้องไม่ลืมว่าเด็กเล็ก ๆ ต้องการเวลาทำความเข้าใจ เพื่อเรียบเรียงความคิดก่อนที่จะสามารถสื่อสารกับคุณได้ ดังนั้นอย่าใจร้อน เร่งรัด หรือพูดแทน หรือพยายามเติมคำในช่องว่างเวลาที่ลูกพูดกับเรา ควรให้เขาได้พยายามคิด และพูดออกมาด้วยตัวเอง

- พูดคำง่าย ๆ สั้น ๆ และช้า ๆ เพราะในสมองลูกยังมีคำจำกัด อายุเขาต่างจากเรามาก ความเข้าใจในถ้อยคำต่าง ๆ จึงยังมีไม่มาก หากต้องอธิบายอะไรให้ลูกเข้าใจ ต้องปรับประโยคให้ง่าย สั้น ชัดเจน พูดทีละเรื่อง แล้วลูกจะเรียนรู้คำต่าง ๆ ได้รวดเร็ว

- ตอบสนอง และชื่นชมกับความพยายามของลูกที่จะสื่อสารกับเรา ไม่จำเป็นต้องคอยแก้ไขคำพูดที่ลูกพูดผิด แต่สิ่งที่ควรทำคือ ทบทวนคำ หรือประโยคที่ลูกพูดให้ถูกต้อง เช่น ลูกพูดว่า "แม่ไปหลาด" แทนที่จะตำหนิว่า "ไม่ใช่ ๆ ลูกพูดผิด" ควรทวนโยคของลูกด้วยประโยคที่ถูกต้อง คือ "จ้ะ แม่ไปตลาด"

- เล่าให้นิทานให้ลูกฟัง ลองคิดเรื่องขึ้นเอง เด็กเล็กชอบฟังเรื่องที่มีตัวเขาเป็นผู้แสดง หรือเกี่ยวกับเรื่องที่เขาคุ้นเคยในกิจวัตรประจำวัน อ่านหนังสือกับลูกทุกวัน พูดคุยกับเขา อธิบายรูปภาพ สี รูปทรง จำนวน และคำต่าง ๆ ที่ปรากฎอยู่ในหน้าหนังสือ เชื่อมโยงภาพเข้ากับคำ ทั้งนี้ยังสามารถใช้งานศิลปะง่าย ๆ เช่น ปั้นแป้งโด ใช้สีเทียนแท่งโต ๆ วาดภาพขณะที่อ่านหนังสือ และคุยกับลูกไปพร้อม ๆ กันก็ได้

ดังนั้น ถ้าอยากให้ลูกฉลาด ทำได้ไม่ยาก คุณพ่อคุณแม่ต้องขยันตั้งใจจริง ที่สำคัญต้องมีความรักเป็นองค์ประกอบเสมอ

วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2555

5 กิจกรรมง่าย ๆ กระตุ้นพลังความคิดลูก

ช่วงนี้ได้บทความดีๆจาก ASTVผู้จัดการออนไลน์(16 สิงหาคม 2554)มาฝากค่ะ

ปฏิเสธไม่ได้ว่า สมัยนี้มีข้อมูลสำเร็จรูปเต็มไปหมด รวมทั้งอธิบายเหตุผลมาให้เรียบร้อยว่าควรเชื่อ และควรทำตามเพราะอะไร ทำให้คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยได้ใช้ความคิด แต่สำคัญผิดคิดว่า ตัวเองใช้ความคิด แท้ที่จริงแล้วก็แค่เชื่อข้อมูลเท่านั้น

ดังนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกระตุ้นลูกให้รู้จักคิดตั้งแต่เด็ก ซึ่งความคิดเป็นพลังสร้างสรรค์ที่ดี ทั้งต่อเด็ก และบุคคลรอบข้าง แต่ก่อนที่เด็กจะเข้าใจเรื่องของทักษะความคิดที่ดีได้นั้น ต้องอาศัยแบบอย่าง และการสะสมประสบการณ์จากพ่อแม่ ซึ่งวิธีกระตุ้นความคิดให้กับเด็ก ๆ สามารถทำได้ด้วยกิจกรรมในชีวิตประจำวัน และทำร่วมกันได้ทั้งครอบครัว

โดย 5 กิจกรรมง่าย ๆ ที่ทีมงาน Life & Family ได้หยิบยกมาฝากกันในวันนี้ จะมีอะไรบ้างนั้น ไปติดตามกันเลยครับ

1. ชักจูงกันพูดคุยเล่าจินตนาการ

ทุกเรื่องที่ลูกพูดเป็นประจำกับคุณ ถึงแม้ว่าสิ่งที่ลูกคิด และสิ่งที่พ่อแม่ได้ยินอาจจะดูเหนือธรรมชาติ ต่างไปจากความเป็นจริง แต่ถ้าลองคิดตามแล้วฟังเสียงเล็ก ๆ ของลูกก็จะสัมผัสได้ว่า เขามีความคิดเช่นไร มีความสนใจต่อสิ่งใด และโลกในจินตนาการที่แฝงไปด้วยความคิดสร้างสรรค์เหล่านั้น จะเป็นคำตอบนำพาให้ครอบครัวทราบว่าจะสามารถต่อยอดความคิดให้กับลูกได้อย่างไร หรือพัฒนาความสามารถต่อไปได้เช่นใด

How to

สังเกตว่าลูกสนใจสิ่งใดเป็นพิเศษ เพื่อคอยสนับสนุนให้ลูกได้เรียนรู้ สัมผัสจากของจริงในสิ่งที่ถูกต้อง อาทิ ลูกชอบการปั้น การสร้างหุ่นยนต์ ก็อาจพาลูกไปดูการแข่งขันหุ่นยนต์ หรือเข้าชมแหล่งสะสมหุ่นยนต์ในสถานที่ต่าง ๆ

2. ชักจูงกันอ่านหนังสือ

วิธีที่ง่ายที่สุด คือ การอ่านนิทานที่ลูกชอบ และตั้งคำถามเพื่อให้ลูกได้ฝึกความคิด ในขณะที่พ่อแม่เป็นฝ่ายสนับสนุนโลกในจินตนาการของเด็กอย่างถูกต้อง คือ ตอบในสิ่งที่ลูกชอบ และตอบด้วยความจริง อีกทั้งเสริมสร้างความคิดในมุมบวกให้มากที่สุด ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้ลูกได้คิด รู้จักแสดงความคิดเห็น

How to

พยายามตั้งคำถามบ่อย ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกได้แสดงความคิดของตัวเอง และในขณะเดียวกันคุณพ่อคุณแม่สามารถสอดแทรกความคิด ร่วมกับอธิบายสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม ลูกก็ได้เรียนรู้ พร้อมรับฟังเหตุผลของผู้อื่นไปด้วยในเวลาเดียวกัน



3. ชักชวนให้ทำงานบ้าน

การให้ลูกได้มีส่วนร่วมในการทำความสะอาดบ้าน อาทิ กวาดบ้าน รดน้ำต้นไม้ เมื่อลูกทำเสร็จก็แสดงความชื่นชม เพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจในความสามารถของตัวเอง และหลังจากนั้นก็ค่อย ๆ เพิ่มความรับผิดชอบให้มากขึ้นตามความเหมาะสม

How to

พยายามให้ลูกคิด และทำกิจกรรมแต่ละอย่างให้สำเร็จด้วยตัวเอง เมื่อลูกทำได้ก็ควรชื่นชม เพื่อให้รู้สึกภาคภูมิใจ และอยากทำสิ่งอื่น ๆ ด้วยตัวเองต่อไป

4. คิดคำถามให้ลูกตอบ เพื่อพิจารณาไอคิว/อีคิว

ระหว่างที่ทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัว คุณพ่อคุณแม่อาจจะคิดคำถามง่าย ๆ ของสถานการณ์บางอย่างเพื่อสำรวจความคิดของลูก เช่น กรณีลูกถูกรังแก มีเพื่อนแย่งของเล่นจะทำเช่นไร โดยสิ่งที่คุณตั้งคำถามนั้นก็เพื่อจะได้ทราบว่า ลูกจะสามารถจัดการกับปัญหาได้หรือไม่ และมีวิธีคิดอย่างไร

How to

ควรให้เด็กฝึกคิดแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง เพื่อจะได้ทราบว่า ชีวิตคนเราต้องมีอุปสรรค ปัญหา และความผิดหวัง แต่สิ่งสำคัญ คือ การยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น และแก้ไขปัญหาอย่างถูกต้องเหมาะสม

5. ชวนดูข่าวหรือสารคดีที่เหมาะสม

นำเรื่องราวที่ดูร่วมกันมาพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ถือโอกาสนี้ สอดแทรกทัศนคติที่ดี หรือวิธีคิดที่เป็นบวกบนหลักเหตุ และผลให้กับลูก เมื่อฝึกบ่อย ๆ วิธีคิดเหล่านี้ก็จะถูกหล่อหลอมให้กับเด็กไปโดยปริยาย

How to

สอนให้รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น และให้เด็กทราบว่าในเรื่องเดียวกัน ความคิดเห็นของแต่ละคนอาจแตกต่างกันได้ แต่ความคิดนั้นต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้อง มีเหตุผลและความดีงามไปพร้อม ๆ ด้วยกันนะครับ

ลองนำไปปรับใช้กันดูนะครับ หรือผู้อ่านท่านใดมีกิจกรรมนอกเหนือจาก 5 กิจกรรมข้างต้น เข้ามาบอกเล่ากันได้ ทีมงานยินดีน้อมรับด้วยความขอบคุณมากครับ

วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2555

เตือนพ่อแม่ระวัง "ยาร้าย" ทำเด็กไม่โต

อ่านเจอใน ASTVผู้จัดการออนไลน์(7 มีนาคม 2555)ค่ะ น่าสนใจดีนะ



เป็นอีกหนึ่งข่าวที่พ่อแม่ทุกท่านควรพิจารณากันให้ดี ๆ โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทางกระทรวงวิทยาศาสตร์ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (TCELS) ได้มอบหมายศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติให้ความรู้ประชาชนเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องในการเลือกบริโภคอาหารและยาอย่างมีคุณภาพ ซึ่งได้มีการออกมาเตือนพ่อแม่อย่าหลงเชื่อโฆษณา และระดมยาให้เด็กเกินสมควร เพราะอาจทำให้เด็กไม่โต และป่วยด้วยยาในที่สุด

นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวว่า เด็กยุคใหม่ถูกจับให้กินยาประจำหลายขนานราวกับผู้ใหญ่ ถ้ามีการเก็บสถิติคงติดอันดับต้น ๆ ในเรื่องการกินยากันเลยทีเดียว ทั้งที่ความจริงแล้วการให้ยาในปริมาณยิ่งมากยิ่งไปกดภูมิคุ้มกันเด็ก โดยเฉพาะเด็กที่เป็นภูมิแพ้ที่จะต้องกินยาหลังอาหารทุกมื้อ ทำให้โรคที่เป็นดีขึ้นในตอนแรก แต่หลังจากนั้นจะพบกับสภาพที่หนักกว่าเดิม

ดังนั้น ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติท่านนี้ได้เตือนพ่อแม่ระวัง "ยาร้าย" ดังต่อไปนี้

1. ยาภูมิแพ้ ยาฆ่าเชื้อ และยาแก้แพ้ ทำให้เด็กเรียนหนังสือไม่รู้เรื่องได้ ยิ่งหลายขนานยิ่งมีโอกาสตีกันกับยาชนิดอื่น ความน่ากลัวของยาชนิดนี้อยู่ที่การต้องกินต่อเนื่องเป็นเวลานาน ถ้าไม่จำเป็นเมื่อแพ้หายแล้วควรหยุดใช้ ในเด็กที่ได้ยาฆ่าเชื้อนาน ๆ ภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอจนป่วยง่าย และยาฆ่าเชื้อบางชนิดเป็นตัวกระตุ้นไข้ได้เองถ้าใช้ติดต่อกันนาน (Drug fever)

2. ยาสเตียรอยด์ ตัวร้ายสุดมีทั้งแบบ พ่นจมูก พ่นคอ ยากิน และยาทา สเตียรอยด์ที่ว่าเป็นยายอดนิยมที่ถูกจ่ายให้คนไข้ภูมิแพ้มาก โดยฤทธิ์ของมันจะไปปิดกระดูกให้หยุดโต เด็กจะตัวแกร็น และอ้วนฉุ ที่สำคัญคือจะไปทำให้กระดูกผุ ปิดกั้นความสูงของเด็กจนเสียโอกาสไปในเด็กวัยกำลังโต

3. ยาขยายหลอดลม ยากลุ่มนี้ หากเด็กได้รับมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการกระวนกระวาย คล้ายไฮเปอร์ลามไปถึงใจสั่น ทรมานถึงขนาดเรียนไม่รู้เรื่อง หงุดหงิดง่าย และนอนไม่หลับทั้งคืนได้

4. ยาลดน้ำมูกแบบเมา ๆ ยาน้ำลดน้ำมูกที่นิยมกันมีการใส่แอลกอฮอล์เข้าไปมาก ทำให้รสอร่อย เช่น รสองุ่น รสส้ม จิบเข้าไปแล้ว เด็กจะไม่ตื่นมาโยเย เพราะเมาจากยาที่ผสมแอลกอฮอล์นั่นเอง

5. ยาแก้ปวด อย่าเห็นพาราเซตตามอลเป็นเรื่องเล่น ๆ ดูเป็นยาปลอดภัยแต่อันตรายเหมือนกัน เพราะถ้าใช้ผิดขนาด เช่น เอาของผู้ใหญ่มาแบ่งครึ่งให้เด็กก็อาจทำอันตรายต่อตับของเด็กได้ ทางที่ดี ควรเลือกยาที่เฉพาะกับเด็กโดยตรงจะดีกว่า


6. ยาลดไข้ ไม่ธรรมดาเหมือนกันโดยเฉพาะยาลดไข้กลุ่ม เอ็นเสด (NSAIDs) อย่างไอบูโพรเฟ่นที่เด็กป่วยไข้เลือดออกกินแล้วอาจชักได้ ในเด็กที่มีไข้ยังไม่ทราบสาเหตุไม่ควรให้ยาลดไข้กลุ่ม "เร็วสั่งได้" นี้เพราะมีสิทธิ์ที่จะช็อคได้สูง

7. ยาธาตุ เด็กน้อยปวดท้องบ่อยมักถูกป้อนด้วยยาธาตุ เอามหาหิงคุ์ทาพุงจนกลิ่นตลบ ในเด็กโรคกระเพาะถ้าได้ยาธาตุน้ำขาวพวกอะลั่มมิลค์บ่อยเกินไปยาจะไปยับยั้งการดูดซึมแร่ธาตุ วิตามิน รวมไปถึงยาอื่น ๆ และการได้ธาตุอลูมิเนียมจากยาน้ำขาวพวกนี้มากไปก็อาจมีผลต่อสมองได้

8. ยาระบาย ไม่ว่าแบบน้ำ เม็ด หรือยาสวนก้น ต้องดูสุขภาพเด็กให้ดี ถ้ามีอาการเพลีย หรือซึมจากการขาดน้ำอยู่แล้ว ยาถ่ายที่ทำให้ท้องเสียอันตรายถึงช็อคได้ ส่วนในเด็กท้องผูกต้องดูแผลปากทวาร (Anal fissure) ให้ดีก่อนสวนด้วย

9. ยาช่วยนอน ถ้าเด็กนอนไม่หลับควรหาสาเหตุให้พบเสียก่อน รวมไปถึงยาที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทเด็ก เช่น ยาแก้โรคสมาธิสั้น โดยการรักษาที่ดีต้องใช้พฤติกรรมบำบัด และกิจกรรมบำบัดควบคู่ไปด้วยจะดีที่สุด

10. วิตามินสังเคราะห์ ในเด็กที่กินอาหารไม่ครบ วิตามินเสริมเป็นตัวช่วยที่ดี แต่ต้องระวังวิตามินประเภทสังเคราะห์อย่างกรดวิตามินเอ วิตามินอี และน้ำมันตับปลาที่มากเกินไปเพราะอันตรายต่อตับเด็กได้

"รู้แบบนี้แล้วก็ใช่ว่าจะให้ทิ้งยาดังกล่าวในทันที เนื่องจากยาพวกนี้สะสมอยู่ในตัวเด็กนานนับเดือนนับปี ถ้าหยุดทันที เด็กอาจมีอาการทรุดลงได้ อย่างยาสเตียรอยด์ที่เด็กภูมิแพ้ได้นาน ๆ การหยุดแบบหักดิบจะทำให้ต่อมหมวกไตไม่ทันตั้งตัว และทำงานไม่ทัน อาจกลายเป็นโรคที่ป่วยด้วยต่อมหมวกไตได้" ผอ.ศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติทิ้งท้าย

วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ของเล่นของลูก

เนื่องจากเป็นแม่ที่ไม่มีเงินทองจะกองให้ จะให้ซื้อขอเล่น โน่นนั่นนี่ตามหนังสือแนะนำ แม่ก็ได้แต่ส่ายหัว แพง เกินความจำเป็นอย่างมาก ดังนั้นตอนลูกยังแบเบาะ ของเล่นลูกจึงยังไม่มี มีแค่ตุ๊กตาของแม่ที่สะสมไว้ โมบายที่ควรจะมีไว้บ้างก็คาดคั้นเอากะเพื่อนรักของแม่ให้ช่วยซื้อเป็นของขวัญให้หลาน เป็นโมบายปลาตะเพียนด้วย พอลูกโตขึ้นคว่ำคลาน ไขว่คว้าได้ แม่ก็ให้เล่นการ์ดเติมเงินที่แม่สะสมไว้ กว่าจะหยิบได้ค่อนข้างนาน ก็เป็นการฝึกให้มือลูกหยิบจับได้เร็ว (ไปหาตาตอนขวบกว่าๆ ลูกสามารถเสียบหลอดนมเข้าตรงรูได้ ตาชมใหญ่เลยว่ามือนิ่งมาก )
นอกจากนั้นก็มีหนังสือดิกชันารีเล่มเล็กเอามากรีดให้ลูกดู เพื่อเรียกร้องความสนใจ ก็ดูจะได้ผล เพราะลูกชอบหนังสือและไม่เคยฉีกหนังสือเลย ตุ๊กตาที่แม่สะสมไว้ก็กลายเป็นของลูก ถึงลูกจะเป็นผู้ชายแม่ก็ให้เล่น เพราะมันคือ “ของเล่น” ไม่ใช่ของเปลี่ยนเพศ แม่เอาไว้เล่นสมมติทำเสียงเล็กเสียงน้อย ไม่ต้องซื้อหุ่นมือก็ได้ เอาตุ๊กตานี่แหละ ใช้ได้เหมือนกัน ที่เสียเงินซื้อก็มีพวกเครื่องกดที่มีเสียงสัตว์ ลูกบอล หนังสือบอร์ดบุค(มือสองค่ะ เพราะมือหนึ่งค่อนข้างแพง) บล็อกพลาสติก บางทีก็อนุญาตให้ลูกเอาหม้อ ตะหลิวใบเล็กๆมาเล่นทำกับข้าว แต่สิ่งที่ลูกชอบไม่เปลี่ยนแปลง(แต่ชอบจะออดอ้อนขอใหม่)คือรถค่ะ ขอบมากๆ แต่ก็นั่นแหละค่ะเด็กเบื่อง่าย ของเล่นลูกชายสองตะกร้าแล้วที่ซื้อให้ เลยต้องประดิษฐ์ของเล่นให้ลูกเล่นเองเป็นส่วนมาก เอาของเก่าเหลือให้ อย่างแผ่นโฟมกันกระแทกมาตัดๆแปะๆเป็นเตาแก๊สให้ลูกเล่น แต่จากประสบการณ์แล้วคิดว่าของเล่นที่ทำง่าย หาง่ายที่สุดคือ กระดาษค่ะ นอกขากเอากระดาษมาวาดรูป ระบายสี แล้ว ยังเอามาทำหน้ากาก พับเป็นหมวก เอามาให้ลูกตัด(ฝึกการใช้มือควบคุมกรรไกร) และสิ่งของอื่นๆจำพวกกระดาษ เช่น เอานามบัตรเก่าๆของพ่อมาทากาวประกบกัน ทำเป็นสื่อการสอนพวกflash card หรือพระเอกอีกอย่างคือลังกระดาษค่ะ เอามาเล่นได้หลากหลายมาก สมมติเป็นรถ เป็นบ้าน เป็นยานอวกาศ เป็นหุ่นยนต์ ตามแต่ลูกจะจินตนาการ ส่วนแม่เป็นผู้ช่วยให้จินตนาการของลูกสมบูรณ์

ลูกคงไม่ได้พิจารณาก่อนเล่นของเล่นที่แม่ทำให้ว่า มันไม่ใช่ของเล่นที่แพง หรือมีการรับประกันว่าไร้สารพิษ แต่แค่ลูกได้มีส่วนร่วมนั่งการนั่งดูแม่ว่าจะทำอะไรให้เล่นอีกหนอ พอสำเร็จเป็นรูปร่างแล้วลูกเล่นอย่างมีความสุข แม่ก็สุขใจแล้ว

วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เมื่อลูกชายเล่นจู๋ ..แม่ก็จ๊ากน่ะสิ

ออกอาการมึนงงสักพัก พอจะรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องร้ายแรง แต่ก็กังวลและคิดไม่ออกว่าสาเหตุมาจากอะไร จะแก้ยังได ในที่สุดก็คิดได้ว่าต้องให้อากู(google)ช่วยไขปัญหาคาใจ ทำให้รู้ว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ลูกสนใจจู๋ตัวเองเป็นพิเศษก็เนื่องมาจากเรา(พ่อแม่)นั่นเอง ..พ่อไม่ต้องเดินหนี มารับผิดชอบร่วมกันเลย เพราะตัวดีเลยชอบจับจู๋ลูก ส่วนเราก็ไม่ค่อยให้ลูกไปเล่นกับเพื่อน แต่เราเองก็ไม่ค่อยเล่นกับลูก ..ต้องปรับปรุงตัว
เอาล่ะ ใครมีปัญหาเหมือนกัน เอาปัญญามาไขปัญหาให้ค่ะ รวบรวม เรียบเรียงใหม่ ข้อมูลจากเวปดีๆ tiny zone ,เว็บไซต์สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์และเวปหมอชาวบ้านค่า ..กราบงามๆค่ะ

การเล่นอวัยวะเพศของเด็กวัย 3-4 ขวบนี้ ต้องถือว่าเป็นเรื่องปกติ มีเหตุผลเช่นเดียวกับการติดนิสัยดูดนิ้ว เหมือนกับที่เด็กเล็กๆ ติดขวดนม ดูดนิ้วมือ หรือชอบจับลูบคลำส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเป็นประจำ ซึ่งเป็นความพอใจในลักษณะเดียวกันไม่ใช่เรื่องความความผิดปกติแต่อย่างใด เมื่อบอกคุณแม่ว่าปล่อยให้เด็กดูดนิ้วต่อไปได้ เพราะจะหายเองในอนาคต คุณแม่ส่วนใหญ่ยอมรับฟัง แต่พอพูดเช่นนี้กับคุณแม่ ที่มีปัญหาลูกเล่นอวัยวะเพศ คุณแม่มักยอมรับไม่ได้ เพราะอะไรที่เกี่ยวกับเพศ จะทำให้ผู้ใหญ่เดือดเนื้อร้อนใจเป็นพิเศษ ทั้งที่เด็กวัยนี้ยังไม่เข้าใจความหมายหรือมีความรู้สึกถึงความต้องการทางเพศหรือความใคร่เหมือนผู้ใหญ่ แต่เป็นเพราะเหตุบังเอิญที่ทำให้เด็กจับบริเวณอวัยวะเพศบ่อยๆ ก็เกิดความพึงพอใจ หรือการที่พ่อแม่ทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศให้ลูก บางครั้งอาจนานเกินไป ทำให้ลูกเกิดความรู้สึกพึงพอใจเมื่อได้รับการสัมผัสบริเวณนั้น
อันที่จริง การเล่นอวัยวะเพศของเด็กวัยนี้ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากการอมมือ ถ้าจะคิดว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับเพศก็คงเหมือนกับความคิดของซิกมันต์ ฟรอยด์ ที่ว่า การดูดนิ้วเกี่ยวโยงกับเรื่องเพศเท่านั้นเอง ซึ่งนิสัยเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะเด็กไม่มีโอกาสและสถานที่ระบายพลังงานออกจากกายอย่างเพียงพอ หากเด็กได้เล่นกับเพื่อน ได้วิ่งเล่นออกกำลังกายนอกบ้านตามความต้องการนิสัยเหล่านี้จะหายไปเอง และไม่มีผลต่ออนาคตของเด็กเลย เวลาเด็กอมนิ้วหรือเล่นอวัยวะเพศ ตัวแกเองก็รู้สึกอายเหมือนกัน จึงไม่ยอมทำในที่ที่มีคนเห็น หากพบว่าลูกมีนิสัยเล่นอวัยวะเพศ การห้ามปรามตรง ๆ คงไม่ได้ผล ควรสร้างสภาพแวดล้อมที่ไม่อำนวยให้เด็กมีโอกาสเล่นอวัยวะเพศดีกว่า
เด็กที่อยู่บนแฟลตสูง ๆ และไม่ได้เล่นกับเพื่อน คุณแม่ควรพาแกลงมาเล่นบนพื้นดินกับเด็กอื่น ๆ บ้าง หรือส่งไปโรงเรียนอนุบาล แทนที่จะให้ไปเหงาอยู่กับบ้าน ถ้าที่บ้านมีสนาม อาจเลี้ยงลูกสุนัขได้เป็นเพื่อนวิ่งเล่น หรือทำชิงช้า ทำที่ปีนป่ายให้เล่น เป็นต้น ในกรณีที่รู้ว่าเด็กใช้เก้าอี้ตัวนั้นเสียชั่วคราว การหยิก การตี ขู่ว่าอวัยวะจะเน่า หรือหลอกเด็กว่าจะทำให้แก่โง่เง่า เป็นสิ่งไม่ควรทำ การล้างมือของเด็กให้สะอาดอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่อวัยวะเพศ ถ้าเด็กมีพยาธิจะทำให้รู้สึกคันก้นและบริเวณอวัยวะเพศบ่อย ๆ จนกระทั่งรู้จักการเล่นอวัยวะเพศ ควรตรวจและกำจัดพยาธิเป็นประจำ การเล่นอวัยวะเพศซึ่งเริ่มในช่วงอายุ 4 ขวบ อาจติดเป็นนิสัยไปจนถึงวัยเข้าโรงเรียน และจะหายไปเองในวัยประถม หลังจากนั้น แกก็กลายเป็นเด็กปกติ
สรุป สาเหตุ ได้แก่
1. เด็กกระตุ้นด้วยตนเองจากการค้นพบโดยบังเอิญ เด็กเล็กที่เริ่มคว้าและจับสิ่งของต่างๆ ได้แล้วก็จะชอบจับอวัยวะต่างๆของตนเอง เช่นจับใบหู จับมือ จับเท้าและจับอวัยวะเพศแล้วบังเอิญเกิดความพึงพอใจ เด็กจึงเล่นอวัยวะเพศต่อ ในเด็กที่โตขึ้นมาหน่อยเผอิญนอนคว่ำอวัยวะเพศไปเสียดสีเข้ากับหมอนข้างแล้วเกิดความพึงพอใจ เด็กเกิดการเรียนรู้จึงทำซ้ำๆ
2. การระคายเคือง เกิดจากการทำความสะอาดไม่ดีเพียงพอ หรือเกิดจากพยาธิเส้นด้าย ทำให้เด็กเกิดอาการคันเมื่อเกาบริเวณอวัยวะเพศแล้วเด็กรู้สึกพึงพอใจจึงทำซ้ำ
3. พ่อแม่ทำความสะอาดให้เด็กมากเกินไป พ่อแม่บางคนที่รักความสะอาดมากๆเวลาอาบน้ำจะขัดถูให้เด็กบ่อยๆ และพ่อแม่บางคนจะเอาสำลี มาทำความสะอาดบริเวณนี้ของเด็กบ่อยๆ จึงเป็นการกระตุ้นเด็กโดยไม่รู้ตัว
4. ผู้ใหญ่ชอบแหย่เด็ก ผู้ใหญ่บางคนชอบแหย่เด็กโดยการเอามือไปจับจู๋เด็กเล่น หรือบางคนชอบเอาใบหน้าที่มีหนวดไปไซร้ที่อวัยวะเพศของเด็ก ทำให้เด็กจั๊กจี๋และเกิดความพึงพอใจจึงจับอวัยวะเพศของตนเองเล่น
5. เด็กบางคนเหงาและมีเวลาว่างก่อนนอน เด็กบางคนอาจถูกปล่อยให้เล่นคนเดียวอยู่บ่อยๆเด็กจึงกระตุ้นตนเองโดยการดูดนิ้ว นั่งโยกตัว ดึงผมและเล่นอวัยวะเพศ เป็นต้น จะทำจนติดเป็นนิสัย หรือเด็กที่ง่วงนอนแล้วตายังสว่าง นอนไม่หลับก็จะจับผ้าห่มถูเล่น ถูมือ แคะจมูก ดูดนิ้วลูบคลำอวัยวะเพศ เป็นต้น และเมื่อเด็กเกิดความพึงพอใจเด็กก็จะทำบ่อยๆ จนติดเป็นนิสัย
6.เด็กเลียนแบบผู้ใหญ่ กรณีนี้อาจเกิดขึ้นได้ถ้าหากผู้ใหญ่ไม่ระมัดระวังและทำอะไรให้เด็ก เห็นเด็กก็จะเลียนแบบหรือเลียนแบบในวีดีโอ
วิธีแก้ไข
- การแก้ไขที่ได้ผลดี เมื่อลูกเล่นอวัยวะเพศ คือ การเบี่ยงเบนความสนใจ ไม่ใช่การว่ากล่าวให้เกิดความรู้สึกกลัว เพราะการทำเช่นนี้ ลูกอาจรู้สึกว่า ความรู้สึกเรื่องเพศเป็นสิ่งที่ผิด เป็นเรื่องเลวร้ายกลายเป็นความเข้าใจผิด หรือเกลียดกลัวเรื่องเพศไป กลายเป็นปัญหาเมื่อเป็นผู้ใหญ่
- ถ้าเห็นลูกใช้มือคลำ เกาผิดปกติ ตรวจดูก่อนว่าบริเวณอวัยวะเพศลูกมีแผล รอยแดง ที่ทำให้ลูกคันหรือไม่ และบางครั้งอาจเกิดจากการที่มีพยาธิ ซึ่งเด็กมักจะคันในช่วงหัวค่ำ จะได้รู้สาเหตุของการจับอวัยวะเพศอย่างแน่ชัด กรณีที่เป็นพยาธิเส้นด้าย เด็กควรได้รับยาถ่ายพยาธิ
- เมื่อทำความสะอาดอวัยวะเพศแล้วควรซับบริเวณนั้นให้แห้งจะได้ไม่เกิดการระคายเคือง
- การทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศ ควรระมัดระวังไม่ควรเช็ดถูและกระตุ้นบริเวณนั้นมากเกินไป ทำแต่พอควร
- พ่อแม่ควรมีเวลาให้เด็กและควรทำกิจกรรมร่วมกับเด็กบ้าง เพราะถึงแม้ว่าการเล่นอวัยวะเพศในเด็กวัยนี้จะไม่ได้เป็นเรื่องที่ร้ายแรง แต่ในเด็กบางคนที่ขาดความอบอุ่น หรือเกิดความรู้สึกเหงา เศร้าซึม อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้หมกมุ่นกับเรื่องนี้ได้ ไม่ควรปล่อยให้เด็กอยู่ตามลำพังบ่อยๆ และควรเปิดโอกาสให้เด็กได้เล่นกับเพื่อนๆ
- เมื่อคุณพ่อคุณแม่เห็นว่าลูกกำลังเล่นอวัยวะเพศอยู่ ไม่ควรตระหนกตกใจจนเกินไป ควรเพิกเฉย ไม่ควรหลอกว่าจะตัดจู๋หรือจิ๋มจะเน่า เพราะจะทำให้เด็กกลัว ไม่ดุว่า หรือเฆี่ยนตี เพราะไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้น การว่ากล่าวอย่างรุนแรง อาจทำให้เด็กเกิดความรู้สึกต่อเรื่องนี้ในด้านลบ และเกิดผลเสียด้านจิตใจตามมา ควรใช้วิธีก็ชักชวนหากิจกรรมอย่างอื่นเล่นกับลูก ชวนลูกไปเตะบอล ช่วยแม่ทำกับข้าว + มีเวลาให้กับลูกอย่างสม่ำเสมอ ถ้าเห็นว่าลูกมีพฤติกรรมดังกล่าวอาจจะเพิ่มเวลาที่ทำกิจกรรมกับลูกมากขึ้น แต่ไม่ใช่การจับผิดลูก
- ช่วงเวลาเข้านอน เด็กที่เล่นอวัยวะเพศเวลาเข้านอนแม่ควรพาเด็กเข้านอน อ่านหนังสือหรือเล่านิทานให้ลูกฟังก่อนนอน ให้เด็กจับมือแม่ หาผ้าห่มหรือของเล่นชิ้นเล็กให้เด็กจับ แต่ไม่ควรให้เด็กกอดหมอนข้างหรือตุ๊กตาเพราะเด็กจะนอนคว่ำแล้วถูไถ อวัยวะเพศกับหมอนหรือตุ๊กตาได้
ถ้าลูกยังไม่ง่วงนอน ไม่ควรปล่อยให้ลูกนอนเองตามลำพัง เพราะช่วงเวลาว่างๆ ที่ไม่มีกิจกรรมลูกก็อาจมีพฤติกรรมนี้ได้อีก
- พ่อแม่ไม่ควรให้เด็กเห็นภาพความสัมพันธ์ทางเพศของผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์จริง จากหนังสือสิ่งพิมพ์ หรือวิดีโอ
- ผู้ใหญ่ไม่ควรหยอกล้อแสดงความเอ็นดูเด็กด้วยการจับอวัยวะเพศ หรือไซจมูกบริเวณอวัยวะเพศของเด็ก ควรชวนเด็กเล่นและทำกิจกรรมอย่างอื่นแทน
- อย่าให้เด็กแก้ผ้า เพราะเด็กจะจับต้องได้ง่าย
- ไม่สวมใส่กางเกงที่คับเกินไปให้กับลูก
- ในเด็กเล็กควรชวนเด็กเล่นและเบนความสนใจไปทำอย่างอื่น เด็กก็จะเลิกสนใจไปเองถ้ามีสิ่งอื่นให้ทำและสนุกกว่า
- พ่อแม่ไม่ควรกังวลใจในเรื่องนี้ให้มากนัก การเล่นอวัยวะเพศในเด็กไม่ได้เป็นปัญหาที่รุนแรงสามารถรักษาให้หายได้ โดยการปรับพฤติกรรมและเบี่ยงเบนความสนใจ การเล่นอวัยวะเพศในเด็ก ไม่ได้เป็นแบบเดียวกับการสำเร็จความใคร่ในผู้ใหญ่ แต่เป็นเพราะเด็กกระตุ้นอวัยวะเพศแล้วเกิดความพึงพอใจ ไม่ได้กลายเป็นปัญหาทางเพศหรือวิปริติทางเพศเมื่อโตขึ้น ดังนั้นพ่อแม่เมื่อเจอปัญหานี้ควรจัดการดังคำแนะนำข้างต้น ถ้าไม่ดีขึ้นลองปรึกษาจิตแพทย์

เหมือนได้รับคำปลอบใจเนอะ ก็ต้องแก้ไขกันไป

วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

สอนลูกรักสะอาด

ไปเจอบทความอีกล่ะค่ะ ลอกเค้ามาทั้งดุ้นเลย แต่โดนส่วนตัวคือเป็นแม่ที่มีมาตรฐานความสะอาดพอสมควร ไม่ถึงกับสกปรกไม่ได้ ลูกสามารถลุยขี้โคลน เล่นทราย ถอดรองเท้าเดินได้ แต่เวลาขึ้นบ้านต้องทำความสะอาดร่างกายให้เรียบร้อย ..อื่นๆก็รักษาความสะอาดตามปกติทั่วไป แต่เห็นด้วยกับการหัดให้ลูกรู้จักรักษาความตั้งแต่เล็กๆ เพราะอย่างลูกชายถ้ามือเปื้อนเค้าจะวิ่งไปล้างเอง วิธีหลอกล่อย่างหนึ่งคือ ทำหน้าว่ารังเกียจมากๆเมื่อเห็นมือลูกสกปรก(สายตาจ้องที่ความสกปรกนะคะ ไม่ใช่ทำหน้ารังเกียจลูก เดี๋ยวลูกเสียใจ) เอาล่ะ ลองอ่านอะไรที่เค้าเขียนแบบวิชาการดีกว่า

กุญแจสำคัญของการสร้างทัศนคติที่ดีในการทำความสะอาดร่างกาย คือการเริ่มสอนให้ลูกรู้จักดูแลความสะอาดตั้งแต่อายุน้อยๆ เพื่อสร้างนิสัยรักความสะอาด รักสุขภาพ ให้มีสุขอนามัยที่ดีในอนาคตโดยที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องคอยจ้ำจี้จ้ำไชเลยล่ะค่ะ

วัย 1-2 ขวบ
เด็กวัยนี้มีความกลัวมากกว่าเด็กวัยอื่นๆ ค่ะ หากมีเหตุการณ์ที่ทำให้กลัวเพียงครั้งเดียว ก็จะจดจำจนทำให้แก้ไขได้ยาก อย่างกรณีอาบน้ำ หากหนูน้อยคนไหนเคยโดนแชมพู หรือสบู่เข้าตา เขาจะกลายเป็นเด็กที่กลัวการอาบน้ำสระผมขึ้นสมองเลยค่ะ ดังนั้น จึงควรระมัดระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่ดีที่จะทำให้ลูกฝังใจได้
การสอนลูกในวัย 1-2 ขวบ เป็นการสอนให้เด็กได้ซึมซับ และเคยชินกับการดูแลความสะอาดเท่านั้น คุณยังจะต้องคอยช่วยจับมือลูกในการแปรงฟัน ให้ลูกได้ใช้ขันหรือฝักบัวในการราดน้ำเอง แต่ยังต้องมีคุณคอยช่วยถูสบู่อยู่ อย่าไปคาดหวังว่าลูกจะทำความสะอาดร่างกายได้สะอาดหมดจด และทำได้เองโดยไม่ต้องบอก เพราะแม้ว่าลูกวัยนี้จะสามารถหยิบจับ เดินเหินได้คล่องบ้างแล้วแต่ก็ยังเด็กเกินไปที่จะคิดทำอะไรได้ด้วยตัวเอง คุณพ่อคุณแม่จึงควรเป็นผู้ช่วย คอยแนะแนวทางปฏิบัติให้ลูกทีละขั้นตอน และทำให้เป็นกิจวัตร ซึ่งก็ต้องผนวกไปกับความสนุกและใช้เวลาสั้นๆ เพื่อไม่ให้ลูกรู้สึกเบื่อค่ะ

วัย 2-3 ขวบ
ลูกในวัย 2-3 ขวบ มีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้นและต้องการแสดงศักยภาพที่ตัวเองมีอยู่ให้คุณได้เห็นเมื่อลูกมีความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น คุณก็ต้องเชื่อมั่นในศักยภาพของลูกด้วย ปล่อยให้เขาได้หัดทำอะไรด้วยตัวเองบ้าง ไม่ใช่พอลูกทำอะไรไม่ถูกก็รีบจัดการให้เสียทุกอย่าง จนลูกเกิดความเคยชินไม่ยอมทำด้วยตัวเองเพราะลูกรู้ว่าถ้าไม่ทำคุณก็จะทำให้ ยิ่งถ้าคุณบ่นเมื่อลูกทำอะไรไม่ถูก จะกลายเป็นการลดทอนความมั่นใจของลูกด้วยค่ะ
ทั้งถอดเสื้อผ้า รองเท้า ถุงเท้า ล้างหน้า อาบน้ำ ลูกวัยนี้สามารถทำได้เองค่ะ แต่ศักยภาพในการทำกิจกรรมต่างๆ จะยังไม่ดีเท่ากับผู้ใหญ่อย่างเราๆ ดังนั้นคุณจึงต้องคอยให้คำแนะนำที่ถูกต้อง เปิดโอกาสให้ลูกได้หัดแปรงฟัน อาบน้ำ สระผมด้วยตัวเอง โดยมีคุณคอยดูแลอยู่ข้างๆ ถ้าลูกเบื่อควรโยงกิจกรรมต่างๆ เข้ากับความสนุก พร้อมอธิบายให้ฟังว่าการดูแลความสะอาดร่างกายเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำทุกวัน ที่สำคัญ คุณต้องทำให้เป็นตัวอย่างเพื่อลูกจะได้เห็นว่าคุณก็ทำกิจกรรมเหล่านั้นทุกวันด้วยเหมือนกัน

แปรงสะอาด อาบสนุก สระสบาย
วิธีที่จะทำให้ช่วงเวลาแห่งการสอนลูกรักสะอาดเป็นเรื่องสนุกทำได้ดังนี้ค่ะ
เลือกเอง ปล่อยให้ลูกได้เลือกอุปกรณ์เกี่ยวกับการทำความสะอาดร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นแปรงสีฟัน แชมพู สบู่ หรือฟองน้ำขัดตัวด้วยตัวเอง แต่ต้องแน่ใจว่าของทุกชิ้นที่ลูกเลือกเหมาะกับช่วงวัยของลูกจริงๆ อย่างเช่นแปรงสีฟันควรจะเป็นแปรงที่ออกแบบมาสำหรับเด็ก แชมพู สบู่ที่อ่อนโยนต่อผิวบอบบาง เป็นต้น
หลากหลาย ให้ลูกได้มีแปรงสีฟัน แชมพู สบู่ ที่หลากหลาย เพื่อให้เป็นตัวเลือกที่เพิ่มความสนุกตื่นเต้นก่อนเริ่มกิจกรรมได้เหมือนกันค่ะ
สนุก หาของเล่นสำหรับเล่นเวลาอาบน้ำ อาจเป็นตุ๊กตาลอยน้ำได้ หรือที่เป่าฟองสบู่มาเล่นกับลูกขณะทำกิจกรรม อาจเปิดดนตรีคลอไปด้วย จะได้ทั้งความสนุกและบรรยากาศที่ผ่อนคลายค่ะ
ป้องกันได้ ชวนกันไปซื้อหมวกคลุมที่ใช้เวลาสระผมถามลูกว่าอยากได้สีไหนและอธิบายสรรพคุณ อย่างเช่น “หมวกเอาไว้ใส่เวลาสระผม กันแชมพูเข้าตาลูก ต่อไปนี้จะได้ไม่ต้องกลัวการสระผมแล้ว หนูอยากได้สีไหนจ๊ะ” เป็นต้น

สอนยังไง...ให้หนูทำ
คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าวัยนี้เป็นวัยต่อต้าน ที่สั่งให้ทำอะไรเป็นต้อง “ไม่ ไม่ ไม่” ทุกที
ซึ่งในความเป็นจริงเขาไม่ได้คิดจะต่อต้านหรือดื้อดึงอะไรกับคุณพ่อคุณแม่หรอกค่ะ เพียงแค่ต้องการแสดงความเป็นตัวของตัวเองออกมาอวดให้คุณเห็นเท่านั้นเอง
ดังนั้น ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่ต้องการขจัดปัญหาที่เวลาสั่งให้ลูกทำอะไร แล้วจะต้องได้รับคำตอบจากปากของลูกน้อยว่า “ไม่” ตลอดล่ะก็ “รักลูก” มีวิธีเปลี่ยนคำว่า “ไม่” เป็น “ได้จ๊ะ” มาฝากค่ะ
ทำเป็นกิจวัตร คุณพ่อคุณแม่ต้องทำให้ลูกคุ้นเคยกับการทำความสะอาดร่างกายอย่างเป็นประจำและสม่ำเสมอ โดยเลือกเวลาเดิม หรือใกล้เคียงเวลาเดิม เช่น อาบน้ำตอนตื่นนอน และก่อนเข้านอนทุกวัน แปรงฟัน หลังอาหารทุกครั้ง เป็นต้น
เปลี่ยนคำสั่งให้เป็นการชักชวน อย่างที่เราๆ ท่านๆ ทราบกันดีว่าลูกลูกวัย 1-3 ขวบ ไม่ชอบให้คุณพูดออกคำสั่งเท่าไรนัก คุณจึงควรหลีกเลี่ยงการบังคับหรือใช้น้ำเสียงที่แสดงถึงการออกคำสั่ง แต่หันมาใช้วิธีพูดเชิญชวนแทน เช่น พูดกับลูกว่า “วันนี้มาลองอาบน้ำด้วยสบู่กลิ่นใหม่ที่ลูกไปเลือกกับแม่มาดีไหมจ๊ะ” หรือว่า “วันนี้ลูกอยากใช้แปรงสีไหนแปรงฟันจ๊ะ” ถ้าเขายังไม่อยากทำก็อย่าบังคับค่ะ ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปดีที่สุด
เป็นตัวอย่างให้ลูกดู เมื่อถึงเวลาอาบน้ำ แปรงฟัน คุณพ่อคุณแม่อาจพูดมาลอยๆ ว่า “ทานอาหารเสร็จแล้วต้องแปรงฟัน ไปดูคุณแม่แปรงฟันกันไหมคะ” จากนั้นก็แปรงฟันให้ลูกดู ลูกจะค่อยๆ จดจำ และอยากจะทำทุกอย่างเหมือนบ้าง ตามลักษณะนิสัยชอบเลียนแบบของวัยนี้เลยค่ะ
ร่วมวงทำกิจกรรม ชวนลูกให้ทำกิจกรรมร่วมกันไม่ว่าจะแปรงฟัน อาบน้ำ สระผม ในกรณีอาบน้ำอย่าลืมว่า คุณจะต้องระวังเรื่องการแต่งกายของลูกด้วยนะคะ ต้องเริ่มสอนในเรื่องการปกปิดส่วนที่ไม่สมควรจะเปิดเผยให้ผู้อื่นเห็นได้แล้ว
พูดให้เห็นข้อดีของการทำความสะอาดร่างกาย เป้าหมายสูงสุดของการสอนให้รักสะอาด ก็คือ ช่วยให้ลูกรับรู้ว่าการดูแลความสะอาดร่างกายเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องปฏิบัติทุกวัน ฉะนั้น คุณจะต้องพูดข้อดีให้ลูกเห็นทั้งขณะและหลังทำความสะอาดร่างกายทุกครั้ง
อย่าลืมชดเชย อย่าลืม...พูดชมลูกทุกครั้งที่เขาทำกิจกรรมเสร็จ ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ลูกได้ค่ะ
ธรรมชาติของเด็กนั้นมีความอยากรู้ อยากเห็น และอยากทำอยู่แล้วเป็นทุนเดิมค่ะ การเปิดโอกาสให้ลูกได้ลองกิจกรรมใหม่ๆ นอกจาก กระตุ้นการเรียนรู้แล้ว ยังเพิ่มศักยภาพด้านต่างๆ ของลูกได้ด้วยนะคะ
แล้วคุณจะรู้ว่า...เจ้าตัวน้อยทำอะไรได้มากกว่าที่คุณคิดค่ะ.

(update 11 กรกฎาคม 2008)[ ที่มา.. นิตยสารรักลูก ปีที่ 26 ฉบับที่ 302 มีนาคม 2551 ]
...กราบขอบพระคุณ..

วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2555

ทำยังไงเมื่อ "ลูกอยากได้..."อีกแล้ว

กำลังตกอยู่ในสถานการณ์นี้กันอยู่ไหมคะ เราก็เป็นคนหนึ่งที่ถ้าลูกอยากได้ ไม่แพงเกินไปก็ซื้อให้ ด้วยความสงสารลูก ฯลฯเหตุผล ผลคือ ของเล่นสองตระกร้า..เริ่มคิดว่ามันเยอะไปละ ล่าสุด อยากได้รถแบตเตอรี่คันละสี่พัน(ขาดบาทเดียว) แม่เจ้า..มันจะมากไปแล้วลูกเอ๋ย ของเล่นลูกเศรษฐีนะนั่นน่ะ ลูกเอ๊ย คันละสิบยี่สิบแม่จะควักให้ทันทีเลย ยิ่งมาอ่านเจอบทความนี้ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ชอบมาก บังเอิญเหลือเกินคุณแม่ที่น่ารักในเวปเด็กสองภาษาเอามาลงไว้ เลยเอามาเผยแพร่อีกที ลองอ่านดูค่ะ

พ่อแม่ส่วนใหญ่ไม่กล้าขัดใจลูกและเลือกที่จะโอ๋ลูกตามใจลูก เพราะกลัวลูกไม่รัก แต่เชื่อไหมว่า การเลี้ยงลูกให้เป็นคุณหนูโดยตามใจทุกอย่าง อยากได้อะไรเป็นต้องเนรมิตให้ ถือเป็นการทำร้ายลูกอย่างทารุณที่สุด.... ด้วยน้ำมือของพ่อแม่เอง!!!
ถ้าคุณรักลูกจริงๆ และอยากเห็นพวกเขาเติบโตมีความสุข รู้จักใช้ชีวิตอย่างพอเพียง และไม่เป็นทาสของเงินลองเปิดใจรับกฎเหล็ก 7 ประการของ "ยีน ชาทสกี" นักเขียนชื่อดังของอเมริกา และบรรณาธิการสายการเงินประจำรายการ NBC's Today Show ที่ทุ่มเทมาทั้งชีวิตเพื่อค้นหาคำตอบว่า ทำไมเด็กยุคใหม่ถึงไร้วินัยทางการเงินและสะกดคำว่า พอเพียงไม่เป็น !!!!!
กฎข้อที่ 1 สอนลูกให้เลือกสิ่งดีที่สุด และเลือกให้เป็น
การตัดสินใจเลือกเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ต้องทำในชีวิตนี้ คุณต้องเลือกระหว่างอะไรกับอะไรสักอย่างเสมอ การสอนให้ลูกรู้จักตัดสินใจเลือกอย่างถูกต้อง จะต้องปลูกฝังตั้งแต่ยังแบเบาะจนถึง 2 ขวบ เพื่อสอนให้รู้ว่า ไม่ใช่ว่าอยากได้อะไรแล้วต้องได้ตามใจไปซะทุกอย่าง เทคนิคสร้างทักษะการเลือกที่ถูกต้องให้ลูกควรเริ่มจากการฝึกลูกให้เลือกระหว่างของ2อย่าง จากนั้นค่อยเพิ่มจำนวนเป็น 3-4 อย่าง ถ้าลูกเลือกแล้ว และรบเร้าอยากเปลี่ยนใจ พ่อแม่ก็ห้ามใจอ่อนเด็ดขาด เพราะจะสร้างนิสัยไม่ดีให้กับลูก ต้องปลูกฝังให้ลูกรู้จักการเลือกและตัดสินใจด้วยตัวเอง ที่สำคัญต้องแฮปปี้กับการตัดสินใจ ไม่ใช่ว่า พอได้ของเล่นชิ้นหนึ่งมาแล้ว ก็ลงดิ้นกับพื้นร่ำร้องอยากจะได้ของเล่นชิ้นใหม่ เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะกลายเป็นคนบ้าช๊อปปิ้ง ซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้า โดยไม่รู้จักคุณค่าของเงิน
กฎข้อที่ 2 กติกาต้องเป็นกติกา เข้มงวดอย่างมีเหตุผล และเลิกตามใจลูก
ผลสำรวจของ "แดน คายด์ลอน" ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด บ่งชื้ว่า เด็กที่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางการเลื้ยงดูเข้มงวดของพ่อแม่ และครอบครัวที่เต็มไปด้วยข้อจำกัด มีแนวโน้มที่จะไม่ออกนอกลู่นอกทางเมื่อเทียบกับลูกเศรษฐีที่ถูกตามใจตั้งแต่เกิด ลองใช้เทคนิคหักเงินทุกครั้งที่ลูกไม่ทำตามกติกา หรือลงโทษลูกโดยห้ามดูทีวี
กฎข้อที่ 3 กำหนดเงินค่าขนมตายตัว เพื่อฝึกให้ลูกบริหารเงินด้วยตัวเอง
สำหรับพ่อแม่ที่ไม่กล้าปฏิเสธลูก การกำหนดเงินค่าขนมตายตัวอาจเป็นเรื่องยาก เพราะเมื่อลูกรบเร้าอยากได้โน่นได้นี่ พ่อแม่จำนวนมากก็มักใจอ่อนซื้อให้ทุกที ลองเริ่มต้นด้วยการกำหนดเงินค่าขนมเป็นรายอาทิตย์และค่อยเพิ่มภาระเป็นรายเดือน วิธีนี้จะทำให้เด็กเห็นคุณค่าของเงินและรู้จักการวางแผนการใช้เงินของตัวเอง เด็กหลายคนยอมอดขนมเพื่อเก็บเงินไว้ซื้อของเล่นกระนั้น พ่อแม่ไม่ควรนำเรื่องค่าขนมมาโยงกับการบังคับให้ลูกช่วยทำงานบ้าน
กฎข้อที่ 4 สอนลูกให้รู้จักการรอคอย
ปลูกฝักให้ลูกรู้ว่าได้อะไรมายาก ทำให้รู้สึกภาคภูมิใจมากกว่าการได้อะไรมาง่ายๆ พ่อแม่ที่ดีควรส่งเสริมลูกให้เรียนรู้ที่จะเก็บเงินเพื่อซื้อของที่ต้องการ เช่น ถ้าลูกอยากซื้อคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คราคาแพง ในขณะที่มีค่าขนมอาทิตย์ละไม่กี่ร้อยบาท สิ่งที่พ่อแม่จะช่วยได้ก็คือ ทุกครั้งที่ลูกหลยอดกระปุกออมสิน พ่อแม่ควรสมทบเงินในอัตราที่เท่ากันให้ลูก นอกจากการรวบรวมเงินออมทั้งหมดที่สะสมมาได้จากการช่วยงานพิเศษภายในบ้าน เมื่อทำแบบนี้แล้ว เด็กย่อมจะเห็นคุณค่าของสิ่งที่ได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง
กฎข้อที่ 5 สนับสนุนให้ลูกทำงานพิเศษ
ถือเป็นบทเรียนสำคัญที่สุดในการสอนลูกให้มีความรับผิดชอบ พ่อแม่อาจเริ่มต้อนจากการจ้างลูกทำงานพิเศษภายในบ้าน เช่น รับจ๊อบล้างรถให้คุณพ่อ หรืออาสาเลี้ยงน้องแทนคุณแม่ เมื่อลูกได้ลิ้มลองรสชาติของการหาเงินได้เอง และอยากได้ข้าวของที่มีราคาแพงเกินกว่ารายได้พิเศษในบ้าน พวกเข้าก็จะออกไปหางานพิเศษทำนอกบ้าน อย่าโวยวายเด็ดขาด ถ้าจู่ๆลูกจะขอไปทำงานแมคโดนัลด์
กฎข้อที่ 6 สอนลูกให้รู้จักคุณค่าของเงิน
เด็กๆ รู้จักใช้เงินเป็น ก็ตั้งแต่พวกเขานับเงินเป็นแล้ว แต่เรื่องที่ยากยิ่งกว่าคือ ทำอย่างไรถึงจะสอนให้พวกเขารู้จักคุณค่าของเงิน มีทิปง่ายๆ สำหรับพ่อแม่ยุคใหม่ เมื่อไหร่ที่ลูกร่ำร้องอยากได้ของเล่น ลองทดสอบลูกว่าของเล่นที่อยากได้สำคัญระดับไหนตั้งแต่ 1-5 โดยทั่วไปแล้ว เด็กทุกคนมักตอบว่า สำคัญที่สุดเป็นอันดับ 5 จากนั้นทิ้งเวลาไว้สักอาทิตย์หนึ่ง แล้วค่อยกลับมาถามลูกใหม่ การทำอย่างนี้สม่ำเสมอจะช่วยให้พวกเขาพัฒนาศักยภาพในการตัดสินใจด้วยตัวเอง และรู้ว่าควรใช้เงินอย่างไรให้คุ้มค่า
กฎข้อที่ 7 เป็นตัวอย่างที่ดีของลูก ... จงอย่าเหนียวหนี้
พ่อแม่ควรเป็นแบบอย่างที่ดีของลูก โดยเฉพาะเรื่องวินัยการเงิน เริ่มต้นง่ายๆ จากการจ่ายค่าขนมให้ลูกตรงเวลา อย่าเพาะนิสัยเหนียวหนี้ให้พวกเขา มิฉะนั้น พวกเขาก็จะโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่เหนียวหนี้ ไม่ยอมชำระค่าบัตรเครดิตตรงเวลา เมื่อพูดคำไหนก็ต้องคำนั้น พ่อแม่ต้องเข้มงวดกับกติกาที่กำหนดไว้ ไม่ใช่ตัวเองยังผิดคำพูดบ่อยๆ แล้วนับประสาอะไรจะบังคับลูกได้


ข้อสุดท้ายนั้นคือสิ่งที่ทำเสมอคือ ถ้ารับปากว่าได้ก็คือได้ ไม่ได้ก็คือไม่ได้ เรื่องรถที่"ลูกอยากได้"นั้น เราบอกไปแล้วว่าไม่ ถ้าอยากได้ต้องเก็บขวดขายเก็บตังค์ไปซื้อเอง เพราะมันแพง แม่ไม่มีเงิน แต่ปู่กะย่าให้ท้าย สัญญาว่าว่าจะซื้อให้ซะนี่ แต่ข้อแม้ยากหน่อย ให้บอกหวยให้ปู่กะย่าถูกซะก่อน .. 55คร่ำครวญไปเถอะลูก

วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2555

คุณธรรมจริยธรรม สอนได้ในเด็กเล็ก

ที่กล้าเอ่ยหัวข้อยิ่งใหญ่เช่นนี้เพราะทำเองกะมือมาแล้วนั่นเอง พ่อแม่สอนได้ค่ะ ไม่ต้องรอให้ลูกเข้าโรงเรียนแล้วค่อยสอน ช้าไป.. เท้าความสักเล็กน้อย เป็นคนที่จะทำอะไรย่อมมีเหตุผล(ยกเว้นเวลาโกรธ 55) สาเหตุที่ตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะสอนเรื่องเกี่ยวคุณธรรมจริยธรรมแบบเบสิคในชีวิตประจำวัน เช่น การขอบคุณ ขอโทษ ไม่ทิ้งขยะ รู้จักเข้าคิว ไม่พูดคำหยาบ ฯลฯ เพราะเคยเห็นบ่อยๆและโดนกับตัวเองคือ ผู้ใหญ่ชอบแกล้งยั่วโมโหให้เด็กด่าหยาบคาย เลียนแบบคำพูดที่ไม่ควรพูด แล้วก็เฮฮา สนุกสนานกันไป ของเราจะโดนประเภทแรก ก็ไม่รู้ว่าอาการขี้โมโหนี่เพราะถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กหรือเปล่า จำได้ไม่แม่น แต่ที่รู้ว่าตัวเองด่าเก่งเพราะพอกลับไปที่ที่เคยอยู่ตอนเด็กๆ ผู้ใหญ่หลายๆคนจะชอบมาแซวว่าเดี๋ยวนี้ไม่ด่าแล้วเหรอ ...โอ แม่เจ้า นี่ภาพพจน์เราในวัยเด็กช่างไม่น่าประทับใจเสียเลย... แล้วใครล่ะทำ จะโทษเด็กหญิงตัวน้อยๆคนนี้เหรอ หลังจากประมวลด้วยสติปัญญาแล้วว่าแก้ไขอดีตไม่ได้ จำเป็นที่เราต้องทำปัจจุบันและอนาคตให้ดี กรรมดีจึงตกมายังลูกสุดที่รัก
# ไม่เคยเอ่ยคำพูดหยาบคายให้เข้าหูลูก ไม่ด่า(คนอื่นรอบตัวปิดปากเขาไม่ได้ก็ถือว่าเขาไม่ได้ใกล้ชิดกับลูกเรามาก น่าจะไม่ติดต่อเท่าไหร่..พูดเหมือนคำหยาบเป็นเชื้อร้าย ..ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงนะ)
# จำไม่แม่นว่าลูกอายุเท่าไหร่ที่เราจับมือให้พนมทุกครั้งที่เจอผู้ใหญ่ ไม่ว่าผู้ใหญ่คนนั้นจะเป็นคนอาชีพอะไร ถ้าอายุมากกว่าลูก แม่จับให้ไหว้ทั้งนั้น(จนตอนนี้สามขวบกว่า ทำเองได้แล้ว)
# เวลาผู้ใหญ่ให้ของต้องพูด “ขอบคุณครับ” ตอนลูกพูดยังไม่ได้แม่จับมือลูกพนมแล้วพูดแทนเอง ..ทุกครั้ง
# คำว่า “ขอโทษ” เริ่มจากตัวแม่ที่บางทีทำให้ลูกเจ็บเล็กๆน้อยๆ เดินชนลูก ฯลฯ แม่จะขอโทษลูก จนตอนนี้ขนาดลูกหกล้มเองยัง “ขอโทษแม่” (สงสัยเข้าใจว่าถ้าทำให้ตัวเองเจ็บต้องขอโทษแม่กระมัง )
# ไปซื้อของต้องรอคิว ...เรื่องการรอคอยก็ได้มาจากหนังสือที่เขาแนะนำว่าควรจะฝึกให้เด็กรอตั้งแต่ยังเล็ก เช่นเด็กร้องปุ๊บอย่าไปถึงปั๊บ แต่ให้ส่งเสียงไปก่อน เช่น “แม่อยู่นี่ หิวนมเหรอลูก รอเดี๋ยวนะ แม่ชงอยู่” ให้แม่พล่ามเอ๊ยพูดไปเรื่อย ถ่วงเวลาพอให้ลูกรู้จักรอ แต่ต้องรักษาคำพูด เพราะถ้าเดี๋ยวของแม่นานเกินไปอาจเกิดอาการโมโหได้
# ไม่ทิ้งขยะเรี่ยราดค่ะ เป็นคนที่..เวลาเห็นพ่อแม่ซื้อขนมให้เด็กแล้วเด็กทิ้งถุงต่อหน้าต่อตาแล้วพ่อแม่ยังเฉย อันนี้เห็นแล้วปวดใจ ลูกเราถ้าทิ้งจะบอกให้เก็บทันที หรืออย่างในรถจะใส่ถุงไว้ พอออกจากรถก็เอาไปทิ้งถังขยะ ลุกชอบหิ้วขยะไปทิ้งลงถังด้วย
# คำฮิตติดปากล่าสุดของลูกชาย คือ “ไม่เป็นไรแม่” อันเนื่องมากจาก เวลาลูกเจ็บ แม่จะเข้าไปปลอบว่า “ไม่เป็นไรลูก แม่อยู่นี่แล้ว” ..การที่มีลูกชายคอยปลอบว่าไม่เป็นไรกับหลายๆเหตุการณ์ ก็ทำให้ลดความตึงเครียดได้มากทีเดียว ตัวเล็กแค่นี้ยังรู้จักสอนพ่อแม่ให้ปล่อยวางเนอะ ..
ทั้งหมดทั้งมวลในการเลี้ยงลูก เราเชื่อคำโบราณ(ธรรมรักษา)ที่ว่า การเลี้ยงลูกที่ดี ต้องมี 4 ขั้น คือ “แม่น้ำ ลูกยอ กอไผ่ ใส่เตา”
แม่น้ำ คือ เอาน้ำเย็นเข้าปลอบ พูดจาภาษาดอกไม้ (ทำได้ค่ะ)
ลูกยอ คือ ใช้วิธียกย่องชมเชย ให้กำลังใจ (ลูกชายชอบมากลูกยอเนี่ย ได้กินประจำ อิอิ)
กอไผ่ คือ ใช้ไม้เรียวหวดก้นสอน ไม่เชื่อฟังต้องมีการตีบ้าง ( ใช้ แต่มาเสียใจทีหลังทุกที ..จริงๆก็มีวิธีลงโทษแบบอื่นนะ)
ใส่เตา คือ ขั้นสุดท้ายสอนยังไงก็ไม่ได้ก็ตัดขาดไปเลย(อันนี้ก็เตรียมใจไว้ คิดเสียว่าเราปลูกฝังดีขนาดนี้ถ้าลูกเติบโตไปเป็นคนไม่ดีก็เป็นกรรมของเขาเอง เราทำดีที่สุดแล้ว)

คุณรู้สึกอย่างไร ถ้ามีเพื่อนบ้านชมลูกเราว่า "พ่อแม่เค้าสอนมาดี" สำหรับตัวเราปลาบปลื้มมากค่ะ

วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2555

เขียนเรื่อง"ความโกรธ" ในวันที่ไม่โกรธ

จากหนังสือที่ได้มาเพราะประทับใจชื่อ แต่ยังไม่เคยเปิดอ่าน “สุดยอดคำคมคารมปราชญ์ทุกศาสนาที่ทรงคุณค่านิรันดร์กาล ” ของ สำลี รักสุทธี เมื่อได้เปิดอ่านจึงได้สะอึกกับคำคมบทแรกของศาสนาพุทธที่เรานับถือนี้แหละ
“อย่าปล่อยให้ความโกรธมีอำนาจเหนือเรา เราควบคุมตนเองได้ คนที่สามารถเอาชนะความโกรธได้ย่อมเป็นผู้มีอำนาจเหนือผู้ที่ยอมให้ความโกรธครอบงำ คนหนึ่งนายเหนืออารมณ์ของตน ส่วนอีกคนเป็นทาสอารมณ์ของตนความเกลียดชังเป็นตัวทำลายมนุษยชาติ จึงควรกำจัดความโกรธให้หมดไป”
..ทำไมจะไม่สะอึกล่ะ ก็เรารู้ตัวเองอยู่ว่ามีพื้นสันดานเป็นคนขี้โกรธ โมโหง่าย รู้เรื่องนี้ดีแต่จับความโกรธที่เกิดไม่ทันสักทีก็รู้สึกละอาย เลยลองเปิดอ่านของศาสนาอื่นดู จะมีคำสอนใดขึ้นต้นหนอ..
• ศาสนาคริสต์ “ พระเจ้าสอนให้เราไม่โกรธ จงอย่าโกรธง่ายและจงพร้อมที่จะให้อภัย คนที่เกลียดพี่น้องของตนเปรียบได้กับฆาตกรสัญลักษณ์แห่งความเป็นคริสต์ ”
• ศาสนาอิสลาม “ อาบู ฮูไรรา ได้แจ้งพระวจนะของพระเจ้าว่า “นักมวยปล้ำชั้นดีไม่ถือว่าแข็งแรง คนที่แข็งแรงที่สุดคือคนที่ควบคุมตนเองได้ในยามโกรธ”
...นี่ 3 ศาสนาใหญ่ๆที่เรารู้จักเองนะเนี่ย ยังแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่แย่ที่สุดคือความ “โกรธ” ยังมีอีกหลายศาสนาที่คุ้นชื่อบ้างไม่คุ้นบ้าง ดังนี้
• ศาสนาโซโรอัสเตอร์ “จงอย่าปล่อยตนไปกับอารมณ์ร้ายของความโกรธ ความริษยา ความกลัว และความเศร้า จงมองโลกในแง่ดีเสมอ”
• ศาสนาขงจื้อ “จงพาตนหลีกเลี่ยงที่จะเกลียดหรือโกรธผู้อื่นมธุรสวาจาหือการไม่เรียกร้องคือทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้อื่นเกิดความโกรธ”
• ศาสนาเชน “ความโกรธมิใช่วิสัยของบัณฑิตหรือศาสนิกชน จงทนความบีบคั้นโดยไม่โกรธ คนโง่และคนบาปเท่านั้นที่จะปล่อยตัวให้โกรธ” ..อ้าว ตรู
• ศาสนายูดาย “ความรักเท่านั้นที่จะได้รับการสรรเสริญไม่ใช่ความโกรธ ความโกรธเป็นเหตุของความยากไร้และความหายนะ จงตอบโต้ความโกรธของผู้อื่นด้วยความรักและความเมตตา โดยวิธีนี้เราจะทำให้ผู้อื่นหายโกรธได้ คนโง่เท่านั้นที่ปล่อยตัวเองให้โกรธ” ...อีกละ โง่อีกละ..
• ศาสนาบาไฮ “จงอย่าโกรธแค้นชึ่งกันและกัน จงมีความรักต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายเพื่อพระผู้ป็นเจ้า ไม่ใช่เพื่อตนเอง เราจะไม่มีอารมณ์โกรธหรือรำคาญหากเรารักผู้อื่นเพื่อพระเจ้า”
• ศาสนาชินโต “จงเว้นความโกรธเคืองและเว้นจากกิริยาที่แสดงความโกรธเคือง”
• ศาสนาซิก “โทสะเปรียบเหมือนถ้วยซึ่งบรรจุเรื่องโลกีย์ มีทิฐิเป็นบริการความลุ่มหลงในสิ่งจอมปลอม และความโลภเป็นตัวสังหารมนุษย์”
...ได้รู้สึกตัวอย่างแท้จริงก็เมื่อมีคำสอนเรื่องนี้จากศาสดาทั้งโลกมาสอน อาการหนักนะเราเนี่ย แต่ก่อนหน้านี้ก็คิดได้อยู่เลาๆว่า “คนที่ขาดสติด้วยความโกรธแย่ยิ่งกว่าคนที่ขาดสติเพราะของมึนเมาซะอีก” ... ต้องปรับปรุงเรื่องนี้อย่างแรง อายุมากแล้ว เดี๋ยวดัดยาก สาธุ ขอให้นิสัยนี้อย่าถ่ายทอดสู่ลูกเลย

วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555

มหัศจรรย์นิทานกับพ่อ

การอ่านหนังสือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คิดไว้แล้วว่าจะเพาะบ่มให้มีอยู่ในตัวลูก ไม่ได้เริ่มเร็วเหมือนอย่างที่บาง
คนแนะนำให้อ่านหนังสือให้ลูกฟังตั้งแต่อยู่ในท้อง เพราะเป็นคนชอบอ่านในใจค่ะ อีกทั้งถ้าพูดเสียงดังนานๆแล้วเสียงจะแหบ เจ็บคอ น่ารำคาญมาก เลยไม่ทำ มาเริ่มเมื่อลูกเริ่มนั่งได้และใช้มือไขว่คว้าสิ่งของมากขึ้น สนใจโลกนี้นักใช่ไหมเจ้าหนู มามะมาดูนี่ แล้วก็หยิบหนังสือดิกชันนารีเล่มเล็กแต่หนามากรีดให้ลูกดู ลูกมองด้วยความสนใจ นี่น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นหนึ่ง นอกจากนี้ ยังยอมให้ลูกรื้อตู้หนังสือที่เขาเอื้อมถึงให้มากองรายรอบแล้วให้ลูกเลือกว่าจะหยิบเล่มไหนมาลองกรีดเหมือนแม่ (ยอมเหนื่อยเก็บหนังสือ ดีกว่าตวาดเวลาที่ลูกรื้อตู้หนังสือ) เวลาเก็บก็ให้เค้าช่วย แล้วเราก็จัดเรียงหนังสือใหม่อย่างตั้งใจ ให้เขาเห็นว่าแม่ให้ความสำคัญกับหนังสือเพียงใด และการที่บ้านเราไม่มีหนังสือพิมพ์ ทำให้เราไม่ต้องเอากระดาษที่มีตัวหนังสือมาฉีก มาขย่ำให้ลูกเห็นก็น่าจะเป็นอีกเหตุหนึ่งที่ทำให้ลูกไม่เคยฉีกหนังสือเลย แต่แม้จะพยายามหาหนังสือที่คิดว่าลูกจะชอบมาอ่านให้ฟังก็ดูจะไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ เปิดเวปสองภาษาก้เห็นว่าแม่หลายคนบ่นเรื่องนี้เหมือนกัน เราเองก็ท้อแท้ จนได้เคล็ด(ไม่)ลับ ในการเรียกร้องความสนใจจากลูกมาจากรายการโทรทัศน์ ว่าก็ที่จะให้เด็กสนใจกิจกรรมที่เราทำอยู่ต้องทำเสียงตื่นเต้นค่า..เช่น แม่งึมงำอ่านหนังสืออยู่ลูกลุกเดินหนี จัดการเลย ทำเสียงตื่นเต้นสุดๆ “โอ้โห นี่อะไรเนี่ย”(ชี้ในหนังสือ) ร้อยทั้งร้อยค่ะเสร็จแม่ อิอิ ในทีวีก้เห็นเด็กหลงกลทีนึงละ มาลองกับเด็กที่บ้านก็ได้ผลแล้วได้ผลอีกเชียวค่ะ
การเริ่มอ่านนิทานจริงๆจังๆให้ลูกฟังน่าจะเริ่มเมื่อตอนที่ตาส่งหนังสือที่ทางกระทรวงสาธารณะสุขแจกหนังสือเล่มแรกให้กับเด็กที่เกิดใหม่ เพื่อส่งเสริมให้พ่อแม่อ่านนิทานให้ลูกฟัง มีทั้งเป็นเรื่องสั้น(แต่อาจจะยาวและน่าเบื่อสำหรับเด็ก)ก็ใสอารมณ์ตื่นเต้น ทำเสียงเล็กเสียงน้อย ไม่ต้องตามหนังสือเป๊ะค่ะ ดัดแปลงเอามั่งตามสถานการณ์ (แม่ที่เก่งต้องมีไหวพริบในการเลี้ยงลูก อิอิ เอ..ชมตัวเองรึเปล่าเนี่ย) และที่เด็กชอบอีกอย่างคือที่เป็นบทกลอน มีจังหวะ นอกจากนี้ควรให้เขามีส่วนร่วม เช่น ถ้าเราอ่านให้เค้าฟังรอบนึงแล้วมีขอเบิ้ล ในรอบสองนี้ต้องให้ลูกมีส่วนร่วมในการเล่าเรื่อง หรือแม่อาจจะตั้งคำถาม แกล้งทำเป็นจำไม่ได้ว่าตัวนี้พูดว่าอะไร สารพัดที่แม่จะออกลีลา(เป็นแม่นี่มันช่างท้าทายความสามารถจริงๆ) ความสำเร็จในตอนนี้เป็นที่น่าพอใจก็คือลูกจะหยิบหนังสือมาให้พ่อหรือแม่อ่านให้อย่างน้อยหนึ่งเล่มก่อนนอน ไม่ว่าจะง่วงสักเท่าไรก็ตาม แค่นี้ก็พอใจแล้วค่ะ มาตรฐานไม่สูง เอาแค่ทุกคนในบ้านมีความสุขก็พอแล้ว
อีกอย่างหนึ่งที่เราคิดว่าสำคัญมากๆและเห็นหลายๆ(แม่)บ้านก็ทำคือ (บังคับ)ให้คุณพ่ออ่านหนังสือให้ลูกฟัง แม่ปลูกฟัง ให้พ่อช่วยสานต่อ คุณพ่อทั้งหลายเชื่อไหมคะ ถึงจะอ่านผิดๆถูกๆ ตะกุกตะกักยังไง แต่ลูกมีความสุขนะ ที่ได้อยู่ใกล้ชิดพ่อที่วันๆไม่ได้เจอหน้า(เพราะพ่อต้องทำงานทั้งวัน) ลูกเราจะชอบให้พ่ออ่านให้ฟังมาก ลูกบอกว่า “อ่านหนังสือกับพ่อสนุก” มันทำให้เรานึกถึงตอนเราเด็กๆที่เรากับน้องหนุนแขนพ่อคนละข้างแล้วพ่อก็เล่านิทาน(ที่คิดว่าพ่อคงแต่งเอง)ให้ฟัง มันมีความสุขและยังเป็นความทรงจำที่ไม่ลืมเลือน ... ลองดูนะคุณพ่อ อ่านนิทานง่ายกว่าทำงานอีกนะคะ

วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555

ภาษาของลูก

ในช่วงแรกเราก็ใช้ภาษาไทยกับลูก ปู่ย่าใช่ภาษาถิ่นตามความถนัด จนกระทั่งสามีได้เห็นพี่บิ๊ก เจ้าของแนวคิดเด็กสองภาษาที่โด่งดัง ตอนนั้นลูกอายุประมาณ 10 เดือน ทำให้เขาตาลุกวาวและโยนภาระนั้นมาให้เราในบัดดล ด้วยความเก่งภาษาอังกฤษเหลือเกิน(ประชด) ทำให้นอกจากคู่มือคือหนังสือของพี่บิ๊ก ก็ต้องรื้อตำราภาษาอังกฤษมาอ่าน เข้าเวปเด็กสองภาษาทุกวัน..ไฟแรงมาก แต่ทุกสิ่งย่อมมีอุปสรรค อันดับแรก อุปสรรคในตัว เพราะเลือกการสอนแบบ full time เราต้องพูดอังกฤษกับลูกคนเดียว ตลอดเวลา ด้วยความไม่มั่นใจในภาษาอังกฤษของตัวเอง ทำให้กดดันมาก จนบางครั้งไม่พูดกับลูกเพราะกลัวพูดผิด อันดับสอง จากคนรอบข้าง ที่หมั่นไส้ความกระแดะของสามีภรรยาคู่นี้ ส่งมาเป็นคำพูดกระแทกแดกดัน ยิ่งเวลาผ่านไป ถึงวัยที่ลูกควรจะพูดได้แล้วเขาไม่พูด ยิ่งโดนถากถางจนแทบหมดกำลังใจ ..เมื่อเราตัดสินใจแน่วแน่ในสิ่งใด จงมุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จ หากมันเกิดปัญหา แก้ไขไม่ได้ ก็วางมันลงสักพัก ให้เราพอมีกำลังแล้วค่อยกลับไปแบกมันใหม่...
กล่าวได้ว่าที่ผ่านพ้นอุปสรรคเหล่านั้นจนมาถึงวันที่ชื่นใจได้ก็เนื่องด้วยผองเพื่อนร่วมอุดมการณ์ความคิดในเวป เด็กสองภาษานั่นเองที่คอยให้คำปรึกษา ปลอบประโลมใจให้เข้มแข็ง แถมยังเป็นแหล่งความรู้ชั้นยอด ไม่ใช่แค่ภาษา ยังรวมถึงความรู้ในการเลี้ยงลูกด้านอื่นๆด้วย
ต้องยอมรับส่วนหนึ่งว่าที่ลูกเราพูดช้าก็เนื่องจากเขาสับสนภาษา เพราะเขาเข้าใจทุกอย่างที่เรา(อังกฤษ) พ่อ(ไทยกลาง) ปู่ย่าและแวดล้อม(ไทยใต้) พูดและสั่งให้ทำ เมื่อความกดดันเริ่มมากขึ้น เราตัดสินใจที่จะใช้ภาษาไทยกับลูก แต่เพื่อให้ไม่เสียฟอร์ม ก็ต้องลองถามความเห็นลูกก่อน ในคืนหนึ่ง ขณะอ่านหนังสือ(ภาษาไทย)ก่อนนอน ถามลูกว่า “ Nong Thup do you want mom talk with you like this or พูดภาษาไทย” ลูกมองหน้า เราถามต่อ “อยากให้แม่พูดอย่างนี้ไหม” ลูกพยักหน้า เอาล่ะ ได้ข้ออ้างแล้ว อิอิ
จากวันที่เราเริ่มใช้ภาษาอังกฤษกับลูกตั้งแต่ลูกอายุประมาณ 10 เดือน ลองผิดลองถูก จนปรับใหม่เมื่อลูกอายุ 2 ขวบกว่า วิถีทางที่ลงตัวในการสอนภาษาอังกฤษให้ลูก ณ วันนี้คือ ใช้ภาษาไทยกับลูกในเวลาปกติ ให้ลูกดูการ์ตูนภาษาอังกฤษ เพื่อจะให้ลูกได้สำเนียง การออกเสียงที่ถูกต้อง(เราก็แอบฟังไปด้วย ฝึกไปในตัว) ถ้าลูกพูดภาษาอังกฤษกับเราเมื่อไหร่เราจึงตอบเป็นภาษาอังกฤษ เท่านั้นเอง ไม่กดดันตัวเอง สอนลูกเหมือนสอนทักษะอื่นๆทั่วๆไปด้วยหลักการเดียวคือ เราเชื่อว่าลูกจะบอกเราเองว่าเขาพร้อมที่จะรับอะไร ด้วยการสังเกตของเราซึ่งเป็นแม่นั่นเอง

วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2555

ชื่อ(ลูก)นั้น สำคัญไฉน

นอกจากการเตรียมข้าวของเครื่องใช้ให้ลูกแล้ว มีสิ่งหนึ่งที่เราลืมพูดถึง ทั้งที่มันสำคัญมากๆ มาโดนสะกิดให้นึกขึ้นได้ว่าควรเขียนก็เนื่องมาจากชื่อของลูกเรานั่นเอง ที่สร้างความไม่พออกไม่พอใจให้กับญาติที่เคารพบางคน ซึ่งก็บ่นมาตั้งแต่เริ่มตั้งชื่อ จนปัจจุบันลูกเราอายุ 3 ขวบแล้วก็ยังไม่เลิก อธิบายเหตุผลแล้วก็ยังไม่เข้าใจ ขออนุญาตมาอธิบาย(ระบาย)ในหน้าบอร์ดของเราละกัน
ชื่อว่าหนังสืออีกเล่มที่พ่อแม่มือใหม่จะต้องมีคือ คู่มือตั้งชื่อลูก อิชั้นก็เช่นกัน หาที่เปิดอ่านแล้วถูกจริตมาหนึ่งเล่ม กันเหนียว คืออย่างน้อยๆก็ช่วยดูให้ไม่มีตัวกาลกิณีอะไรประมาณนั้น เอามาบวกลบคูณหาร เปิดหาชื่อที่เขายกตัวอย่างมา(เผื่อจะถูกใจ) แต่ก็มีกฎเกณฑ์กว้างๆอยู่ในใจนะคะ คือ ต้องการชื่อไทยๆที่ไม่ต้องแปล(คือไม่อยากได้ชื่อภาษาบาลี สันสกฤต ที่ต้องมาเปิดตำราแปลอีก) ไม่ซ้ำใคร เขียนง่ายๆ ไม่ต้องคอยสะกดให้คนอื่นให้เสียเวลา แล้วก็เข้าเกณฑ์หลักสากลของการตั้งชื่อ เอาแค่ไม่มีตัวกาลกิณี..แค่นี้แหละ
หลังจากคุยกันก็ได้ชื่อจริงลูกชายมา ชื่อ”เวลา”ค่ะ เพราะลูกคือสิ่งที่มีค่าที่สุด สำคัญที่สุด และเราก็คิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในโลกนี้คือ เวลา เราเลยอยากให้ชื่อเล่นว่า “ธาม”จะได้คล้องจองกะชื่อจริง( Time) แต่พ่อเขาไม่ต้องการชื่อที่ฟังดูเป็นฝรั่ง(อย่างเด็ดขาด)ทั้งที่อธิบายแล้วว่าพ้องเสียงเฉยๆ ด้วยความอยากให้ลูกใช้ชื่อที่มี “ธ” สิ่งไหนน่าจะมีคุณค่าและชื่อนี้น่าจะมีน้อย ด้วยความเป็นคนสนใจเรื่องวัดวา เลยเสนอชื่อ “ธูป” โดยมองในแง่ที่ ธูปเป็นเครื่องบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พ่อเค้าเห็นด้วย อีกทั้งบวกลบคูณหารตามสูตรแล้วก็ออกมาดี ไม่มีปัญหา
เมื่อความคิดตกผลึก ก็เข้าสู่ขั้นปฏิบัติ ทันใดเช่นกันเมื่อฝ่ายญาติผู้มีอุปการคุณทราบเข้าเท่านั้นแหละค่ะ ด.ช.เวลาเลยได้ใช้ชื่อเวลาเพียง 3เดือน พ่อก็ต้องรีบแจ้นไปเปลี่ยนเพราะทนความกดดันไม่ไหว ได้ชื่อใหม่ แม่อีกนั่นแหละคิด “เปรมสุข” ยังไม่เป็นที่พอใจแต่ก็ลดเสียงรบกวนรอบหูได้ระดับหนึ่ง มาถึงชื่อเล่น ก็ยังโดนอยู่เป็นระรอกตามความถี่ของการพบปะ
ถึงตอนนี้อยากจะบอกฝ่ายญาติผู้มีอุการคุณทั้งหลายเหลือเกินว่า การจะติติงเรื่องใดต่อใครนั้นควรกระทำครั้งเดียวให้ท่านหายอาการอึดอัดใจก็พอ เพราะถ้าหลายครั้งเข้าความอึดอัดใจจะย้ายไปสู่ผู้ถูกติ อันจะทำให้การสนทนาติดขัดได้ เขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อท่านก็ให้เป็นวิจารณญาณของเขาเถิด อีกทั้งท่านควรให้เกียรติเขาในฐานะที่เขาสามารถสร้างลูกขึ้นมาเองก็ควรให้เขามีสิทธิ์ในการตั้งชื่อลูกที่เขาทำมาเองกะมือสิคะ ท่านอยากได้ชื่อใด ควรไปทำ(ลูก)เอาเองเป็นของตัวเองจะได้ดั่งใจท่าน.....สิ่งเหล่านี้ไม่ได้บอกจริงหรอกค่ะ ยังต้องรักษาน้ำใจกันไว้(ทั้งที่ท่านฯไม่ค่อยรักษาน้ำใจเราเลย) ชื่อลูกนี่สำคัญจริงๆ...นะ จะบอกให้