ที่กล้าเอ่ยหัวข้อยิ่งใหญ่เช่นนี้เพราะทำเองกะมือมาแล้วนั่นเอง พ่อแม่สอนได้ค่ะ ไม่ต้องรอให้ลูกเข้าโรงเรียนแล้วค่อยสอน ช้าไป.. เท้าความสักเล็กน้อย เป็นคนที่จะทำอะไรย่อมมีเหตุผล(ยกเว้นเวลาโกรธ 55) สาเหตุที่ตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะสอนเรื่องเกี่ยวคุณธรรมจริยธรรมแบบเบสิคในชีวิตประจำวัน เช่น การขอบคุณ ขอโทษ ไม่ทิ้งขยะ รู้จักเข้าคิว ไม่พูดคำหยาบ ฯลฯ เพราะเคยเห็นบ่อยๆและโดนกับตัวเองคือ ผู้ใหญ่ชอบแกล้งยั่วโมโหให้เด็กด่าหยาบคาย เลียนแบบคำพูดที่ไม่ควรพูด แล้วก็เฮฮา สนุกสนานกันไป ของเราจะโดนประเภทแรก ก็ไม่รู้ว่าอาการขี้โมโหนี่เพราะถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กหรือเปล่า จำได้ไม่แม่น แต่ที่รู้ว่าตัวเองด่าเก่งเพราะพอกลับไปที่ที่เคยอยู่ตอนเด็กๆ ผู้ใหญ่หลายๆคนจะชอบมาแซวว่าเดี๋ยวนี้ไม่ด่าแล้วเหรอ ...โอ แม่เจ้า นี่ภาพพจน์เราในวัยเด็กช่างไม่น่าประทับใจเสียเลย... แล้วใครล่ะทำ จะโทษเด็กหญิงตัวน้อยๆคนนี้เหรอ หลังจากประมวลด้วยสติปัญญาแล้วว่าแก้ไขอดีตไม่ได้ จำเป็นที่เราต้องทำปัจจุบันและอนาคตให้ดี กรรมดีจึงตกมายังลูกสุดที่รัก
# ไม่เคยเอ่ยคำพูดหยาบคายให้เข้าหูลูก ไม่ด่า(คนอื่นรอบตัวปิดปากเขาไม่ได้ก็ถือว่าเขาไม่ได้ใกล้ชิดกับลูกเรามาก น่าจะไม่ติดต่อเท่าไหร่..พูดเหมือนคำหยาบเป็นเชื้อร้าย ..ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงนะ)
# จำไม่แม่นว่าลูกอายุเท่าไหร่ที่เราจับมือให้พนมทุกครั้งที่เจอผู้ใหญ่ ไม่ว่าผู้ใหญ่คนนั้นจะเป็นคนอาชีพอะไร ถ้าอายุมากกว่าลูก แม่จับให้ไหว้ทั้งนั้น(จนตอนนี้สามขวบกว่า ทำเองได้แล้ว)
# เวลาผู้ใหญ่ให้ของต้องพูด “ขอบคุณครับ” ตอนลูกพูดยังไม่ได้แม่จับมือลูกพนมแล้วพูดแทนเอง ..ทุกครั้ง
# คำว่า “ขอโทษ” เริ่มจากตัวแม่ที่บางทีทำให้ลูกเจ็บเล็กๆน้อยๆ เดินชนลูก ฯลฯ แม่จะขอโทษลูก จนตอนนี้ขนาดลูกหกล้มเองยัง “ขอโทษแม่” (สงสัยเข้าใจว่าถ้าทำให้ตัวเองเจ็บต้องขอโทษแม่กระมัง )
# ไปซื้อของต้องรอคิว ...เรื่องการรอคอยก็ได้มาจากหนังสือที่เขาแนะนำว่าควรจะฝึกให้เด็กรอตั้งแต่ยังเล็ก เช่นเด็กร้องปุ๊บอย่าไปถึงปั๊บ แต่ให้ส่งเสียงไปก่อน เช่น “แม่อยู่นี่ หิวนมเหรอลูก รอเดี๋ยวนะ แม่ชงอยู่” ให้แม่พล่ามเอ๊ยพูดไปเรื่อย ถ่วงเวลาพอให้ลูกรู้จักรอ แต่ต้องรักษาคำพูด เพราะถ้าเดี๋ยวของแม่นานเกินไปอาจเกิดอาการโมโหได้
# ไม่ทิ้งขยะเรี่ยราดค่ะ เป็นคนที่..เวลาเห็นพ่อแม่ซื้อขนมให้เด็กแล้วเด็กทิ้งถุงต่อหน้าต่อตาแล้วพ่อแม่ยังเฉย อันนี้เห็นแล้วปวดใจ ลูกเราถ้าทิ้งจะบอกให้เก็บทันที หรืออย่างในรถจะใส่ถุงไว้ พอออกจากรถก็เอาไปทิ้งถังขยะ ลุกชอบหิ้วขยะไปทิ้งลงถังด้วย
# คำฮิตติดปากล่าสุดของลูกชาย คือ “ไม่เป็นไรแม่” อันเนื่องมากจาก เวลาลูกเจ็บ แม่จะเข้าไปปลอบว่า “ไม่เป็นไรลูก แม่อยู่นี่แล้ว” ..การที่มีลูกชายคอยปลอบว่าไม่เป็นไรกับหลายๆเหตุการณ์ ก็ทำให้ลดความตึงเครียดได้มากทีเดียว ตัวเล็กแค่นี้ยังรู้จักสอนพ่อแม่ให้ปล่อยวางเนอะ ..
ทั้งหมดทั้งมวลในการเลี้ยงลูก เราเชื่อคำโบราณ(ธรรมรักษา)ที่ว่า การเลี้ยงลูกที่ดี ต้องมี 4 ขั้น คือ “แม่น้ำ ลูกยอ กอไผ่ ใส่เตา”
แม่น้ำ คือ เอาน้ำเย็นเข้าปลอบ พูดจาภาษาดอกไม้ (ทำได้ค่ะ)
ลูกยอ คือ ใช้วิธียกย่องชมเชย ให้กำลังใจ (ลูกชายชอบมากลูกยอเนี่ย ได้กินประจำ อิอิ)
กอไผ่ คือ ใช้ไม้เรียวหวดก้นสอน ไม่เชื่อฟังต้องมีการตีบ้าง ( ใช้ แต่มาเสียใจทีหลังทุกที ..จริงๆก็มีวิธีลงโทษแบบอื่นนะ)
ใส่เตา คือ ขั้นสุดท้ายสอนยังไงก็ไม่ได้ก็ตัดขาดไปเลย(อันนี้ก็เตรียมใจไว้ คิดเสียว่าเราปลูกฝังดีขนาดนี้ถ้าลูกเติบโตไปเป็นคนไม่ดีก็เป็นกรรมของเขาเอง เราทำดีที่สุดแล้ว)
คุณรู้สึกอย่างไร ถ้ามีเพื่อนบ้านชมลูกเราว่า "พ่อแม่เค้าสอนมาดี" สำหรับตัวเราปลาบปลื้มมากค่ะ
เลี้ยงกันจริงๆ ไม่เห็นต้องตี ก็สอนให้ได้ดีได้
ตอบลบอยากแบ่งปันในความคิดเห็นของแม่ที่พอมีคนชื่นชมลูกอยู่บ้าง
ตอบลบการที่จะได้เด็กที่มีคุณภาพสักคนต้องใช้เวลาที่นานมาก พ่อ-แม่ ต้องเหนื่อยหลายอย่าง ต้องคอยพูด คอยสังเกต และคอยรับรู้การตอบสนองของเด็กว่าเป็นอย่างที่กระทำหรือเห็นหรือเปล่า ทั้งสามอย่างที่ พ่อ-แม่ ดูจากลูกเป็นแค่เพียงเปลือกไม่้เท่านั้น แก่นแท้ที่จะหลอมให้เป็นต้นไม้ที่มีคุณภาพได้มันอยู่ที่แก่นไม้ แก่นของคนที่จะดีมีคุณภาพ ที่เป็นภาพให้ลูกได้เห็นทุกวัน คือการปฏิบัติของคนที่เป็น พ่อ -แม่ ส่วนปัจจัยแวดล้อมก็มีความสำคัญเหมือนกัน แต่ก็ยังสามารถที่จะขัดเกลาได้ โดยที่ว่า พ่อ-แม่ มีเวลาให้ลูกบ้างหรือเปล่า ลูก ๆ ทุกคนอยากได้รับเอาความใจใส่จากพ่อ -แม่ตั้งแต่ยังเล็ก ไม่ใช่ว่าพอลูกโตหน่อยทำอะไรผิด ก็จะพูดว่า "แกนี่ดื้อเหมือนใคร" แล้วก็โยนกันไปโยนกันมา แทนที่จะหาข้อผิดพลาดแล้วช่วยกันแก้ไขหรือเหตุผลในสิ่งที่ผิด อย่างนี้แล้วจะโทษใคร (ที่เขียน พ่อ-แม่ แต่อาจจะมีแค่แม่คนเดียว หรือพ่อคนเดียวก็สามารถทำได้)เด็กจะมีจริธรรมที่ดีงามได้ต้องดูจากแก่นหรือตอ